วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ความจริงเกี่ยวกับความรัก

ความจริงเกี่ยวกับความรัก

1. การรักและไม่ได้รับรักตอบ เป็นทุกข์ แต่สิ่งที่ทุกข์ยิ่งกว่า คือ การรักใครสักคน แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกให้คนคนนั้นรู้ และต้องมาเสียใจภายหลัง

2. พระเจ้าอาจจะต้องการให้เราพบคนที่ไม่ใช่..ก่อนที่จะมาพบคนที่ใช่ เพื่อเวลาเราพบคนคนนั้นแล้ว เราจะได้รู้สึกซาบซึ้งถึงพรที่ทานประทานมา

3. ความรักคือความรู้สึกที่คุณยังห่วงใยใครสักคนอยู่ แม้จะแยกความรู้สึก ความลุ่มหลง และความสัมพันธ์แบบรักใคร่ออกไปแล้ว

4. สิ่งที่น่าเศร้าในชีวิต คือการพบคนที่มีความหมายอย่างมากสำหรับเรา แต่มาค้นพบภายหลังว่าเราไม่ได้ถูกกำหนดมาเพื่อสิ่งนั้น และจะต้องปล่อยให้ผ่านพ้นไป

5. เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลง ประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้น แต่เราก็มัวแต่มองประตูที่ปิดลงไปแล้วเนิ่นนานจนกระทั่งเรามองไม่เห็นประตูที่ เปิดไว้รอเรา

6.เพื่อนที่ดีที่สุดคือคนที่คุณสามารถนั่งอยู่ริมระเบียงด้วยกันโดยไม่พูดอะไร กันสักคำ แต่สามารถเดินจากไปด้วยความรู้สึกเหมือนได้คุยกันอย่างประทับใจที่สุด

7.เป็นความจริงที่เราไม่สามารถรู้เลยว่าเรามีอะไรอยู่จนกว่าเราจะสูญเสียมันไป แต่ก็จริงอีกเช่นกันที่เราไม่รู้ว่าเราพลาดอะไรไปบ้างจนกระทั่งสิ่งนั้นเข้ามาหาเรา

8. การมอบความรักทั้งหมดให้ใครสักคนไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเขาจะรักเราตอบ อย่าหวังที่จะได้รักตอบ แต่จงรอให้มันงอกงามขึ้นในหัวใจเขา แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก็ให้พอใจว่าอย่างน้อยมันก็ได้งอกงามขึ้นในใจของเรา

9. มีสิ่งที่คุณต้องการจะได้ยิน แต่คุณจะไม่ได้ยินมันจากปากของคนที่คุณอยากได้ยิน แต่อย่าทำตัวเป็นคนหูหนวกโดยไม่รับฟังสิ่งนั้นจากคนที่เขาบอกกับคุณจากหัวใจ

10. อย่าบอกลา ถ้าคุณยังต้องการจะพยายามต่อไป อย่าท้อใจถ้าคุณยังรู้สึกว่าคุณไปไหว อย่าพูดว่าคุณไม่รักคนคนนั้นอีกแล้ว ถ้าคุณไม่สามารถทำใจได้

11. ความรักมักมาเยือนผู้ที่ยังคงหวัง ถึงแม้ว่าจะผิดหวัง และมาเยือนผู้ที่ยังคงเชื่อ ถึงแม้ว่าจะถูกทรยศหักหลัง และจะมาเยือนผู้ที่ยังคงรัก ถึงแม้จะเคยเจ็บปวดมาก่อน

12. การที่เราจะประทับใจใครนั้นใช้เวลาแค่เพียงนาที การที่เราจะชอบใครใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมง การที่เราจะรักใครใช้เวลาเพียงชั่ววัน แต่การที่จะลืมใครนั้นต้องใช้เวลาชั่วชีวิต

13. อย่ามองใครจากหน้าตา เพราะมันอาจหลอกเราได้ อย่ามองใครจากความร่ำรวย เพราะมันไม่จีรังยั่งยืน ให้มองหาคนที่ทำให้คุณยิ้มได้ เพราะเพียงยิ้มเดียว สามารถทำให้วันที่หม่นหมองกลับสดใส ขอให้คุณพบคนที่ทำให้คุณยิ้มได้

14.มีช่วงเวลาในชีวิตที่คุณคิดถึงใครสักคนจนกระทั่งอยากดึงเขามาจากความฝัน เพื่อกอดเอาไว้ขอให้คุณได้ฝันถึงคนพิเศษนั้น

15. ฝัน ถึงสิ่งที่คุณต้องการฝัน ไปในที่ที่คุณต้องการไป เป็นในสิ่งที่คุณต้องการเป็น เพราะคุณมีเพียงชีวิตเดียว และมีโอกาสเดียวที่จะทำทุกสิ่งที่คุณต้องการ

16. ขอให้คุณมีความสุขมากพอที่จะทำให้คุณเป็นคนอ่อนหวาน ผ่านการทดสอบมามากพอที่จะทำให้คุณเข้มแข็ง มีความเศร้าโศกพอที่จะทำให้คุณยังคงความเป็นมนุษย์ และมีความหวังมากพอที่จะทำให้คุณเป็นสุข

17. เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าคุณรู้สึกว่าสิ่งนั้นจะทำให้คุณเจ็บปวด รู้ไว้เถอะว่าคนอื่นก็เจ็บปวดจากสิ่งเดียวกันเช่นกัน

18. คำพูดที่ไม่ได้ยั้งคิดอาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง คำพูดที่โหดร้ายอาจทำลายชีวิต คำพูดที่เหมาะกาละเทศะอาจลดความเครียด คำรักอาจเยียวยาและทำให้มีสุขได้

19. จุดเริ่มของความรักคือการปล่อยให้คนที่เรารักเป็นตัวของตัวเอง อย่าดึงเขาจากภาพความเป็นเขา มิฉะนั้นจะหมายความว่าเราเราเพียงภาพสะท้อนของตัวเราที่ปรากฎในพวกเขา

20. คนที่มีความสุขที่สุด ไม่ได้หมายความว่าเขามีสิ่งที่ดีที่สุด เพียงแต่เขาสามารถทำสิ่งที่เขามีให้ดีที่สุดได้ต่างหาก

21. ความสุขรออยู่เบื้องหน้าผู้ที่มีน้ำตา ผู้ที่เจ็บปวด ผู้ที่ค้นหา และผู้ที่พยายามแล้ว เพราะมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้จักคุณค่าของผู้คนที่ได้สัมผัสชีวิตพวกเขา

22. ความรักเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม งอกงามด้วยรอยจูบ และจบลงด้วยคราบน้ำตา

23. อนาคตที่สดใสมีรากฐานอยู่บนอดีตที่ถูกลืม คุณไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ดีถ้าหากไม่รู้จักปล่อยวางความผิดพลาดใน อดีต และความปวดใจ

24. คุณร้องไห้ตอนคุณเกิดในขณะที่คนรอบข้างกำลังยิ้ม จงมีชีวิตอยู่เพื่อเมื่อตอนคุณตาย คุณจะเป็นคนที่ยิ้ม ในขณะที่คนรอบข้างร้องไห้ให้คุณ

- A man overtime falls in love with the woman he is attracted to, and a woman overtime becomes more attracted to the man she loves.
ผู้ชายมักจะตกหลุมรักคนที่เค้าหลงเสน่ห์ และผู้หญิงจะหลงเสน่ห์คนที่เธอตกหลุมรัก

- Friendship is love minus sex and plus reason. Love is friendship plus sex and minus reason.
มิตรภาพคือ ความรัก ลบด้วย เซ็กซ์ และบวกเอาเหตุผลเพิ่มเข้าไป ส่วนรักคือ มิตรภาพบวกด้วยเซ็กซ์ และลบเอาเหตุผลออก

- To love is nothing. To be loved is something. To love and be loved is everything!!
การได้รักเป็นเรื่องขี้ผง การถูกรักเป็น "บางอย่าง" ทีเดียว ส่วนการได้รักและการถูกรักเป็นทุกอย่าง (ว้าว)

- You may only be one person to the world but you may also be the world to one person.
คุณอาจจะเป็นแค่ "คน ๆ หนึ่ง" ในโลกใบนี้ แต่คุณอาจจะเป็น "โลกทั้งใบ" ของคนคนหนึ่งก็ได้

- Friendship often ends in love, but love in friendship- never.
มิตรภาพมักจะจบลงด้วยความรัก แต่ความรักไม่มีวันจบลงด้วยมิตรภาพ

- You know when you love someone when you want them to be happy even if their happiness means that you're not part of it.
(อันนี้ต้องขอบอกว่าโปรดมากค่ะ) คุณรู้ว่า คุณรักเค้าก็ต่อเมื่อคุณต้องการให้เค้ามีความสุข แม้ว่าความสุขนั้นจะหมายความถึงการที่คุณไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน

- Love looks not with the eyes, but with the mind.
ความรักนั้น เห็นไม่ได้ด้วยตา แต่ด้วยใจ

- Love is like standing in the wet cement. The longer you stay, the harder it is to leave. And you can never go without leaving your shoes behind.
ความรักก็เหมือนซีเมนต์เปียก ๆ ยิ่งคุณอยู่นานเท่าไหร่ก็ยิ่งติดหนึบ จากไปไม่ได้เท่านั้น และคุณจะไม่มีวันจากมาได้เลย โดยที่ไม่ได้ทิ้งรองเท้าไว้ข้างหลัง

- Don't marry a person you can live with, marry somebody you can't live without.
จงอย่าแต่งงานกับคนที่คุณ "อยู่ด้วยได้" จงแต่งงานกับคนที่คุณ "ขาดไม่ได้"

- Don't rely on the past to create the future, rely on the future to erase the past.
อย่าวางใจใช้อดีตเป็นตัวสร้างอนาคต แต่จงใช้อนาคตเป็นตัวลบอดีตทิ้งไป

- Love will die if held too tightly; love will fly if held too lightly.
รักจะเฉาตายถ้ายึดไว้แน่นเกินไป และรักจะโบยบินไปถ้ายึดไว้หย่อนเกินไป

- If you love someone tell them, don't wait or else you will lose the chance.
ถ้าคุณรักใคร บอกเค้าซะ อย่ารีรออยู่เลย ไม่งั้นคุณจะเสียโอกาสนะ

- It only takes a second to say "I love you", but it will take a lifetime to show you how much.
ใช้เวลาแค่เพียงชั่ววินาทีในการบอกว่า "ชั้นรักเธอ" แต่ใช้เวลาตลอดชีวิตในการแสดงให้เห็นว่า รักมากเพียงไร

- Love, is like water, we take it for granted. Thus, when it is gone, it becomes crucial.
ความรักก็เหมือนน้ำ เรามักจะเห็นมันเป็นของตาย ต่อเมื่อ มันหมดไปแล้ว นั่นละ ... มันจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น

- True love is like ghosts, which everyone talks about but few have seen.
รักแท้ก็เหมือนกับปีศาจ ทุกคนพูดถึง แต่มีคนน้อยมากที่ได้เห็นว่าเป็นอย่างไร

- The essential sadness is to go through life without loving. But it would be almost equally sad to leave this world without ever telling those you loved that you love them.
ความเศร้าที่สำคัญคือการชีวิตโดยปราศจากความรัก แต่มันคงจะเศร้าเกือบจะพอ ๆ กันที่จะจากโลกนี้ไปโดยไม่ได้บอกคนที่คุณรักว่า คุณรักพวกเค้า"

- A man falls in love through his eyes, a woman through her ears.
ผู้ชายตกหลุมรักทางตา แต่ผู้หญิงน่ะ ตกหลุมรักทางหู

- The way to love anything is to realize that it might be lost.
หนทางที่จะรักสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็คือ การตระหนักสิ่งนั้น ๆ อาจจะสูญหายได้

- The perfect marriage begins when each partner believes they got better than they deserve.
การแต่งงานที่สมบูรณ์แบบเริ่มขึ้น เมื่อต่างฝ่ายต่างคิดว่า พวกเค้าได้รับสิ่งที่ดีเกินกว่าที่ตัวเองสมควรได้รับ

- When a young man complains that a young woman has no heart, it is pretty sure that she has his.
เวลาที่หนุ่มน้อยโอดควรญว่า สาวน้อยนางนั้นไม่มีหัวใจ ค่อนข้างแน่ใจได้เลยว่า สาวน้อยนั้นน่ะ ... มีหัวใจของหนุ่มคนนั้นอยู่ในกำมือ

- Kindness in words creates confidence, kindness in thinking creates profoundness, kindness in giving creates love.
วาจาที่กรุณาจะสร้างความเชื่อมั่น จิตใจที่กรุณาจะสร้างความลึกซึ้งของจิตใจ และการให้ที่กรุณาจะก่อให้เกิดรัก

- To love is to risk not being loved in return. To hope is to risk pain. To try is to risk failure, but risk must be taken, because the greatest hazard in life is to risk nothing.
การที่ได้รักคือการเสี่ยงว่าจะไม่ได้รับความรักเป็นการตอบแทน การตั้งความหวังคือการเสี่ยงกับความเจ็บปวด การพยายามคือการเสี่ยงกับความล้มเหลว แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง เพราะสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตก็คือ การไม่เสี่ยงอะไรเลย

- When loving someone...never regret what you do...only regret what you didn't do.
เวลารักใคร ... อย่าเสียใจในสิ่งที่คุณได้กระทำ จงเสียใจในสิ่งที่คุณไม่ได้กระทำ

- Gravity cannot be held responsible for people falling in love.
เวลาคนตกหลุมรักน่ะ ... โทษแรงโน้มถ่วงไม่ได้ จริงมั้ยล่ะ (ต้องโทษคนขุดหลุม)

There is a story of a woman Who always kept her feelings towards her friend Until the day he got married, she decided to tell him the truth And he felt that it's a good joke for his wedding
มีเรื่องเล่าของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอรักเพื่อนของเธอแต่ได้เพียงเก็บความรู้สึกเอาไว้ จนกระทั่งวันที่เขาแต่งงาน เธอก็ตัดสินใจบอกความจริงกับเขา ...แต่เขากลับคิดว่าเป็นเพียงเรื่องตลกสำหรับวันแต่งงานของเขา...

There is a story of a man Who has never told his wife how much he loves her Until the day she passed away Until now, he keeps sending flowers to her grave everyday With thousand kisses on the card saying "I love you" Would she be able to know?
และยังมีเรื่องเล่าของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ไม่เคยบอกภรรยาว่าเขารักเธอมากแค่ไหน จนกระทั่งเธอตายจากไป ถึงบัดนี้ เขายังคงวางดอกไม้ไว้ที่หลุมศพของเธอทุกวัน พร้อมกับรอยจูบนับพันบนการ์ดที่เขียนว่า "ผมรักคุณ" ...เธอจะมีโอกาสได้รับรู้ไหม...

Yet, there is a story of a girl Who always needed a warm hug from her daddy But she was too shy to ask for Until the day he can never hug her any more...
และยังมีเรื่องเล่าของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้ซึ่งต้องการอ้อมกอดอันอบอุ่นจากพ่อของเธอเสมอ แต่เธอเขินอายเกินกว่าจะเอ่ยปากออกไป ...จนกระทั่งวันที่พ่อไม่สามารถกอดเธอได้อีกต่อไป...

A lot of stories happen everyday You could know what had happened yesterday How can you be sure what will happen tomorrow? Think of something you never say Are you waiting until the day? to say " I LOVE YOU "


ทุกๆวันเกิดเรื่องต่างๆขึ้นมากมาย คุณอาจจะรู้ว่า เมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้น แต่คุณจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพรุ่งนี้ ลองคิดถึงบางสิ่งที่คุณไม่เคยพูด จะต้องรอให้ถึงวันไหน ที่จะบอกคำว่า "รัก”


อ้างอิง โดย :JaAey..Ja (ทีมงาน TeeNee.Com)

สมุนไพรพื้นบ้าน

สมุนไพรพื้นบ้าน คือ พืชผักพื้นบ้านที่ใช้ทำเป็นเครื่องยา ในการรักษาโรคต่างๆ และเป็นที่น่าดีใจ ที่บ้านเราก็พืชผักพื้นที่ใช้เป็นยาสมุนไพร งั้นเรามาเริ่มทำความรู้จักกับ สมุนไพรพื้นบ้าน กันเลยนะคะ



มะยม





ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : learners.in.th

ประโยชน์ทางยา

ราก รสจืด สรรพคุณแก้โรคผิวหนัง แก้ผดผื่นคัน ช่วยซับน้ำเหลืองให้แห้ง แก้ประดง ดับพิษเสมหะ โลหิต
เปลือกต้น รสจืด สรรพคุณแก้ไข้ทับระดู ระดูทับไข้ แก้เม็ดผดผื่นคัน
ใบ รสจืดมัน ปรุงเป็นส่วนประกอบของยาเขียว สรรพคุณแก้ไข้ ดับพิษไข้ บำรุงประสาท ต้มร่วมกับใบหมากผู้หมากเมียและใบมะเฟืองอาบแก้ผื่นคัน ไข้หัด เหือด สุกใส
ดอก ใช้สด ต้มกรองเอาน้ำแก้โรคในตา ชำระน้ำในตา
ผล รสเปรี้ยวสุขุม กัดเสมหะ แก้ไอ บำรุงโลหิต ระบายท้อง





ขอบคุณภาพประกอบจาก : oknation.net

ขนาดและวิธีใช้

1. ใช้เป็นยาแก้ไข้ทับระดุ ระดูทับไข้ ให้นำเปลือกต้น (เปลือกสด) มาต้มเอาน้ำดื่ม
2. เป็นยาบำรุงประสาท ขับเสมหะ ใช้ใบสด ต้มเอาน้ำดื่ม
3. ใช้สำหรับล้างและชำระฝ้านัยน์ตา แก้โรคตา ให้นำดอกสด ต้มกรองเอาน้ำล้าง
4. เป็นยาแก้โรคผิวหนัง ดับพิษเสมหะโลหิต ช่วยขับน้ำเหลือง ใช้รากสดต้มเอาน้ำดื่ม
5. กัดเสมหะ แก้ไอ บำรุงโลหิต รับประทานผลได้ทั้งดิบและสุก
6. แก้ไข้หัวต่าง ๆ ให้นำใบสด ต้มร่วมกับใบหมากผู้หมากเมีย ใบมะเฟืองอาบ
7. แก้เม็ดผดผื่นคัน ใช้เปลือกต้น ต้มอาบ

ข้อควรระวัง

น้ำยางจากเปลือกราก มีพิษเล็กน้อย ถ้ารับประทานเข้าไปจะมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ปวดศีรษะ และง่วงซึม



มะขาม





ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : espazs.spaces.live.com

ประโยชน์ทางยา

แก่น รสฝาดเมา สรรพคุณกล่อมเสมหะและโลหิต
เนื้อมะขาม รสเปรี้ยว ชุ่มเย็น ใช้แก้ร้อน ขับเสมหะ แก้อาการเบื่ออาหาร ในฤดูร้อนอาการคลื่นไส้ อาเจียนในหญิงมีครรภ์ และแก้เด็กเป็นตานขโมยแก้ท้องผูก
ใบแก่ มีรสเปรี้ยวฝาด ใช้นำมาปรุงเป็นยาแก้ไอ โรคบิด ขับเสมหะในลำไส้ฟอกโลหิตขับเลือดลมในลำไส้ แก้หวัดคัดจมูกในเด็ก ใบอบไอน้ำ
เมล็ดแก่ รสฝาดมัน ใช้ถ่ายพยาธิไส้เดือนในท้องเด็ก แก้ท้องร่วงและอาเจียน
เปลือกต้น รสฝาด แก้ท้องอืด ท้องแน่น อาหารไม่ย่อย แก้เจ็บปากเจ็บคอ สมานแผลเรื้อรัง

ขนาดวิธีใช้

1. แก้อาการเบื่ออาหารในฤดูร้อน อาการคลื่นไส้อาเจียนในหญิงมีครรภ์ แก้เด็กเป็นตานขโมย ใช้เนื้อมะขาม 15-30 กรัม อุ่นให้ร้อนรับประทาน หรือผสมน้ำตาลทราย เคี่ยวให้ข้น รับประทานได้ทันที
2. รักษาฝีให้ใช้เนื้อมะขามผสมกับปูนแดงทาที่เป็น
3. เป็นยาขับเลือด ขับลม แก้สันนิบาต ให้ใช้เนื้อมะขามผสมกับเกลือและข่า
4. น้ำมะขามเปียกคั้นเป็นน้ำข้น ๆ ผสมเกลือเล็กน้อย รับประทานชามใหญ่ ใช้สำหรับล้างเลือกที่ตกค้างภายในของหญิงหลังคลอดใหม่ ๆ หลังจากที่รกออกมาแล้ว
5. แก้หวัดคัดจมูกในเด็ก หรือทำให้สดชื่นหลังจากฟื้นไข้ หรือหลังคลอด ใช้ใบมะขามแก่ ต้มรวมกับหัวหอมแดง 2-3 หัว โกรกศีรษะเด็กในเวลาเช้ามืด หรือต้มน้ำอาบหลังคลอดและหลังฟื้นไข้ทำให้สดชื่น
6. แก้ท้องร่วงและอาเจียนใช้เม็ดแก่คั่วให้เกรียมแล้วกะเทาะเปลือกออกใช้ประมาณ 20-30 เมล็ด นำมาแช่เกลือจนอ่อนนุ่ม
7. แก้เจ็บปากเจ็บคอ ใช้เปลือกต้น ผสมเกลือ เผาในหม้อดินจนเป็นเถ้าขาว รับประทานครั้งละ 60-120 มิลลิกรัม และยังใช้เถ้านี้ผสมน้ำอมบ้วนปาก
8. ถ่ายพยาธิเส้นด้าย พยาธิตัวกลม นำเมล็ดมะขามมาคั่ว แล้วกะเทาะเปลือกนอกออกใช้เล็ดในที่มีสีขาว 20-25 เมล็ด ต้มกับน้ำใส่เกลือเล็กน้อย รับประทาน 1 ครั้ง หรือคั่วเนื้อในให้เหลืองกระเทาะเปลือกแช่น้ำให้นิ่มแล้วเคี้ยวเช่นถั่ว
9. ยาล้างแผลเรื้อรัง สมานแผล ใช้เปลือกต้น 1 กำมือ ต้มกับน้ำตาล 3 แก้วให้เดือดนาน 20-30 นาที เอาน้ำมาล้างแผล
10. แก้ท้องผูก มะขามแกะเอาแต่เนื้อ ปั้นเป็นก้อนโตประมาณนิ้วหัวแม่มือ 2 ก้อน (ธาตุหนังใช้ 3 ก้อน) คลุกกับเกลือป่น แล้วแบ่งเป็นลูกเล็ก ๆ พอกลืนสะดวก กลืนกับน้ำแล้วดื่มน้ำอุ่น ๆ ตามประมาณ 1 แก้ว

ข้อควรระวัง

เนื้อมะขามเปียกมีฤทธิ์เป็นยาระบาย หากรับประทานมากเกินไปอาจทำให้ท้องเสียได้



มะนาว




ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : fm100cmu.com


ประโยชน์ทางยา

น้ำมะนาว มีรสเปรี้ยว สรรพคุณแก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยบรรเทา อาการเจ็บคอ บำรุงเสียง ขับระดู แก้เล็บขบ ขับลม แก้ริดสีดวงทวาร ป้องกันโรคลักปิดลักเปิด รักษาอาการบวมฟกช้ำ ทำให้ผิวนุ่ม แก้ซาง
เปลือกมะนาว ใช้รักษาท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น จุกเสียด
เมล็ด รสขมหอม แก้ซาง ขับเสมหะ แก้หายใจขัด แก้ไข้ แก้พิษไข้ร้อน บำรุงน้ำดี แก้พิษฝีภายใน
ราก รสเย็ดจืด แก้ไข้กลับไข้ซ้ำ ถอนพิษผิดสำแดง แก้ฝีมีหัว แก้ปวดฝี
ใบ รสปร่า สรรพคุณฟอกโลหิตระดู ฟอกเสมหะ แก้ฝีตะมอย ฝี ฟกช้ำ แก้ไข้ แก้กลาก แก้กองลมทุกชนิด แก้ริดสีดวง แก้ไอ แก้หืด
ดอก แก้ท้องอืดเฟ้อ ปวดท้อง แก้คลื่นไส้อาเจียน แก้ไอ
ผล แก้ท้องอืดเฟ้อ ปวดท้อง แก้สิวฝ้า แก้ส้นเท้าแตก รักษาแผลจากแมลงมีพิษ

ขนาดวิธีใช้

1. ขับเสมหะ บรรเทาอาการเจ็บคอ นำผลสดมาคั้นเอาน้ำ จะได้น้ำมะนาวเข้มข้น ใส่เกลือเล็กน้อย จิบบ่อย ๆ หรือปรุงเป็นน้ำมะนาว โดยเติมน้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนโต๊ะ และเกลือเล็กน้องชงน้ำอุ่นดื่มบ่อย ๆ (ควรปรุงให้รสจัดเล็กน้อย)
2. แก้ไอ ให้น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ จิบบ่อย ๆ หรือฝานมะนาวเป็นชิ้นบาง ๆ จิ้มเกลือรับประทาน หรือถ้ามีขี้ไต้ในบ้าน อาจเอามะนาวผ่าซีกแล้วรมควันขี้ไต้ก่อนแล้วจึงโรยเกลือ และบีบใส่คอ วิธีรมควันคือ เอาขี้ไต้ชิ้นเล็ก ๆ จุดเข้าเอาหน้าตัดของมะนาวไปขยับไปขยับมาอยู่ใกล้ ๆ ไฟให้เข่าจับ ในเขม่าจะมียาฆ่าเชื้ออ่อน ๆ
3. บรรเทาอาการฟกช้ำภายนอก ให้นำน้อมะนาวผสมกับดินสอพองทาหรือพอกบริเวณที่ฟกช้ำก็จะช่วยบรรเทาลงได้
4. แก้ท้องอืด ใช้เปลือกมะนาวสดประมาณครึ่งผล คลังหรือทุบเล็กน้อย พอให้น้ำมันออกมา ชงน้ำร้อนดื่ม เมื่อมีอาการ หรือใช้เปลือกผลมะนาวแห้ง 10-15 กรัม ต้มเอาน้ำดื่ม
5. แก้ซางแก้ไข้ ขับเสมหะ ใช้เมล็ดคั่ว บดเป็นผง หรือต้มน้ำดื่ม
6. กักฟอกเสมหะ ฟอกโลหิตระดู ใช้ใบ 108 ใบต้มเอาน้ำดื่ม
7. บำรุงกำลัง ทำให้สดชื่นเวลาเป็นไข้ เอาน้ำมะนาวสด 1 ผล น้ำตาล 16 กรัม น้ำข้าว 500 ซี.ซี. ผสมกันดื่ม
8. แก้โรคลักปิดลักเปิด นำน้ำมะนาว 30 ซี.ซี. น้ำตาล 80 กรัม น้ำ 240 ซี.ซี. ผสมกันรับประทานวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
9. รักษาฝีมีหัว ให้ใช้รากมะนาวฝนกับสุราให้ข้น ๆ ทาฝี แก้ปวดฝีทาวันละ 2-3 ครั้ง
10. แก้น้ำร้อนลวก ใช้มะนาวผ่าซีกถูบริเวณแผลไปมาให้ทั่ว ๆ วันละ 2-3 ครั้ง ทำประมาณ 4-5 วัน จะหายเป็นปกติ
11. รักษาผิวหน้าให้สวยเสมอ ก่อนเข้านอนทุกคืน เอาดินสอพอง 1/2 ก้อน ต่อมะนาว 1 ซีก บีบมะนาวลงในดินสอพอง ผสมให้เข้ากันดีแล้วทาบาง ๆ ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ตลอดคืน รุ่งเช้าจึงล้างออกจะรู้สึกว่าใบหน้าสะอาดขึ้น และช่วยป้องกันสิวอีกด้วย
12. แก้ปวดศีรษะ ใช้มะนาวฝานเป็นแว่น หนาประมาณ 6 มม. เอาปูนแดง(ที่รับประทานกับหมาก) ทาด้านหนึ่งให้ทั่ว แล้วเอาด้านนั้นมาปิดขมับที่ปวด ปล่อยไว้จนกว่ายาจะหลุดออกมาเอง



อ้างอิง ขอบคุณข้อมูลจาก : healthnet.md.chula.ac.th ,thaigoodview.com

หมีแพนด้า

หมีแพนด้า

ลักษณะทางกายภาพ
แพนด้ามีขนบริเวณ หู รอบดวงตา จมูก ขา หัวไหล่ สีดำ ในขณะที่บริเวณอื่นจะมีสีขาว มีฟันกรามขนาดใหญ่ และมีกล้ามเนื้อขากรรไกรที่แข็งแรงสำหรับเคี้ยวต้นไผ่ ซึ่งเป็นอาหารของมัน ตัวของมันที่อ้วนและลักษณะการเดินที่อุ้ยอ้าย ทำให้มันดูเป็นสัตว์ที่น่ารัก แต่ในยามที่มีภัยมาถึงตัว แพนด้าก็มีวิธีการต่อสู้เหมือนหมีทั่วๆ ไป นักวิทยาศาสตร์คิดว่าลักษณะสีขาว-ดำ ของแพนด้า อาจช่วยให้มันดูกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่เป็นภูเขา และมีหิมะ

ขนาด
เมื่อวัดส่วนสูงในท่ายืน 4 เท้า แพนด้าสูงประมาณ 2-3 ฟุต จากเท้าถึงหัวไหล่ ในขณะที่ท่ายืน 2 เท้า วัดได้ 4-6 ฟุต น้ำหนักประมาณ 80 ถึง 125 กิโลกรัม โดยตัวผู้จะมีน้ำหนักมากกว่าตัวเมีย 10 ถึง 20 %

ถิ่นที่อยู่อาศัย
แพนด้าอาศัยอยู่ในป่าไผ่ที่ความสูงประมาณ 3,600 ถึง 10,500 ฟุต ซึ่งครั้งหนึ่งพวกมันเคยอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ต่ำกว่านี้ แต่การถางป่าเพื่อทำฟาร์ม หรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่น ทำให้มันต้องเปลี่ยนถิ่นที่อยู่อาศัย เราพบแพนด้าอาศัยอยู่บริเวณภูเขาทั้งในตอนกลาง และตะวันตกของประเทศจีน

ศัตรู
แพนด้าที่โตเต็มที่แล้วมีศัตรูน้อยมาก ศัตรูของมัน ได้แก่ เสือดาวที่อาศัยอยู่บนภูเขาที่มีหิมะ ซึ่งจับลูกหมีแพนด้าที่พลัดจากแม่ของมันกินเป็นอาหาร หรืออาจเป็นฝูงหมาป่าที่จับลูกหมีกินเช่นกัน แต่ศัตรูที่สำคัญที่สุดคือ มนุษย์ที่ล่าแพนด้าเพื่อนำหนังมาขายในตลาดมืด

อาหาร
โดยปกติแพนด้ากินอาหารประมาณ 40 ปอนด์ต่อวัน อาหารหลักของแพนด้าที่อาศัยในป่าคือต้นไผ่ บางครั้งในยามขาดแคลนอาหารหลัก แพนด้าก็กินหัวของพืชประเภทที่เราใช้หัวเป็นอาหาร (เช่น แครอท มันฝรั่ง) หญ้า และสัตว์ขนาดเล็ก แพนด้าที่เลี้ยงในสวนสัตว์ (ต่างประเทศ) นอกจากจะได้รับไผ่เป็นอาหารหลักแล้ว อาหารอื่นๆ ได้แก่ แครอท แอปเปิ้ล มันฝรั่ง

การสืบพันธุ์
ระยะเวลาผสมพันธุ์อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งในช่วงเวลานั้น ตัวเมียจะมีความต้องการเพียง 2 ถึง 3 วันเท่านั้น สิ่งที่ทำให้ตัวผู้และตัวเมียมาพบกันคือ เสียงร้อง หรือสิ่งที่ถูกขับออกมาจากตัวผู้หรือตัวเมียตามจุดต่างๆ เพื่อดึงดูดเพศตรงข้าม ตัวเมียใช้ระยะตั้งครรภ์ตั้งแต่ 95 ถึง 160 วัน และถึงแม้ว่าแพนด้าตัวเมียสามารถให้กำเนิดลูกแพนด้าฝาแฝดได้ แต่ส่วนใหญ่จะมีลูกแพนด้าเพียงตัวเดียวที่รอดชีวิต เนื่องจากอาหารที่จำกัด

ถ้ายกเว้นสัตว์จำพวกจิงโจ้แล้ว เราถือว่าลูกแพนด้าเป็นลูกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เล็กที่สุด ลูกแพนด้าที่เกิดใหม่มีน้ำหนักเพียง 4 ถึง 6 ออนซ์เท่านั้น (110 ถึง 170 กรัม) และยังไม่ลืมตา ลูกแพนด้ามีการเจริญเติบโตที่ช้า จะมีน้ำหนักเท่ากับแพนด้าพ่อ-แม่ของมันเมื่ออายุประมาณ 2 ถึง 4 ปี ลูกแพนด้าจะอยู่กับแม่จนอายุประมาณ 2 ปี จึงออกไปเผชิญโลกด้วยตัวเอง เนื่องจาก อายุที่สามารถสืบพันธุ์ได้ของแพนด้าตัวเมีย อยู่ในช่วงประมาณ 6 ถึง 20 ปี และตัวเมียจะให้กำเนิดลูกอย่างมาก 2 ปีต่อลูกแพนด้า 1 ตัว ดังนั้นแพนด้าตัวเมียสามารถให้กำเนิดลูกแพนด้าได้อย่างมากประมาณ 7 ตัว ในช่วงอายุขัยของมัน ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการให้กำเนิดลูกที่น้อยมาก และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจำนวนแพนด้าที่เกิดใหม่จึงไม่สามารถทดแทนแพนด้าที่ตายไปจากการถูกล่าได้ การลดจำนวนลงอย่างมากของหมีแพนด้าในระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้มีการตั้งองค์กรที่ทำหน้าที่อนุรักษ์หมีแพนด้าขึ้น



อายุขัย
นักวิทยาศาสตร์ยังหาข้อสรุปที่แน่นอนไม่ได้ว่าแพนด้ามีอายุได้ยืนยาวเท่าไร มีสถิติที่บันทึกไว้โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนว่า แพนด้าที่สวนสัตว์มีอายุถึง 35 ปี

พฤติกรรม
แพนด้ามักอยู่ในท่านั่งเวลากินอาหาร ซึ่งคล้ายกับคนนั่ง มันใช้อุ้งเท้าของมันช่วยจับต้นไผ่ในขณะที่กินอาหาร เวลาส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการพักผ่อน การกิน และการหาอาหาร งานวิจัยช่วงแรก ทำให้นักวิทยาศาสตร์คิดว่า แพนด้าเป็นสัตว์ที่ชอบอยู่โดยลำพัง จะพบกันเฉพาะช่วงฤดูกาลผสมพันธุ์เท่านั้น แต่จากงานวิจัยต่อมา พบว่าแพนด้ามีการอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ โดยแต่ละกลุ่มมีการใช้ถิ่นที่อยู่อาศัยบางบริเวณร่วมกัน และบางครั้งสมาชิกในกลุ่มหนึ่งออกมาพบสมาชิกในกลุ่มอื่นในช่วงฤดูกาลผสมพันธุ์ อย่างไรก็ตาม คงต้องมีการทำวิจัยต่อไป


อ้างอิง แหล่งที่มาของข้อมูล
http://www.fonz.org/zoogoer/zg-archives.htm
http://www.giantpandabear.com

สตรอเบอร์รี่ปั่น หลากหลายรูปแบบ

ผู้อ่านต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า เราจะใช้สตรอเบอร์รี่ชนิดไหน
มาปั่นขายให้ลูกค้า เพราะสตรอเบอร์รี่มีหลายชนิด มีทั้งชนิดสดที่มีเฉพาะหน้าหนาว ส่วนหน้าอื่นๆ ก็มีจำหน่ายเหมือนกัน แต่ราคาสูงมาก เพราะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งเหมาะสำหรับทำจำหน่ายในราคาแพงๆ ตามภัตตาคาร โรงแรมชั้นนำ สถานที่ออกกำลังกาย และตามแหล่งสปาต่างๆ

สตรอเบอร์รี่อีกหนึ่งชนิดคือ สตรอเบอร์รี่สดแช่เย็นชนิดเย็นจัดจนแข็งเป็นน้ำแข็ง ปราศจากการเชื่อมหรือถนอมด้วยน้ำตาล ในการปั่นสตรอเบอร์รี่ชนิดนี้แต่ละครั้งใช้วัตถุดิบใกล้เคียงกับการปั่นด้วยสตรอเบอร์รี่สดทุกประการ แต่ความอร่อยย่อมสู้ชนิดสดๆ ซึ่งมีความหอมกว่าไม่ได้

ส่วนสตรอเบอร์รี่อีกชนิดคือ สตรอเบอร์รี่เชื่อมในน้ำเชื่อมเข้มข้น สามารถซื้อหาได้ที่ห้างแม็คโคร แผนกสินค้าอาหารแช่แข็ง หรืออีกหนึ่งที่ คือที่ตลาดนัดจตุจักร ที่ร้านสุภาพร ใกล้ทางขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน

ในสภาวะเศรษฐกิจสมัยนี้ ของทุกอย่างแพงหมด ฉะนั้นแล้ว เรามาเพิ่มมูลค่าของสตรอเบอร์รี่เชื่อมกันดีกว่า ในสูตรนี้ เราจะใช้เป็นสตรอเบอร์รี่เชื่อมสำเร็จรูป ผู้อ่านลองย้อนนึกไปถึงร้านน้ำผลไม้ปั่นตามตลาดนัดสิครับ

เขาจะเชื่อมสตรอเบอร์รี่ของเขาอยู่ในโหลแก้วขนาดใหญ่ หรือไม่ก็จะใส่ในโหลทรงสูง ซึ่งบางร้านอาจจะมีเป็นน้ำลิ้นจี่ น้ำกีวี น้ำส้ม น้ำมะนาว

ในร้านนี้จะมีทั้งน้ำมะนาว น้ำส้ม น้ำลิ้นจี่ น้ำกีวี น้ำสตรอเบอร์รี่ ซึ่งน้ำในโหลใช้น้ำหวานสควอชรสต่างๆ มาผสม แล้วจึงเติมเนื้อผลไม้ลงไปตามกลิ่นนั้นๆ วิธีการขายก็ไม่ยากเย็นอะไร เพียงแต่ผู้อ่าน เตรียมน้ำแข็งบดขนาดแก้ว 16 ออนซ์ ใส่ลงไปในเครื่องปั่น ต่อจากนั้นก็ตักน้ำผลไม้พร้อมเนื้อลงไปประมาณ 3-4 ออนซ์ ซึ่งก็เท่ากับทัพพีพลาสติคขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 1/2-3 นิ้ว

ทัพพีขนาดนี้ เมื่อตักน้ำพร้อมเนื้อขึ้นมาแล้ว ก็จะได้ปริมาณของน้ำเชื่อมที่ติดขึ้นมาประมาณ 2-3 ออนซ์ เลยครับ ส่วนผลไม้ในแก้วพลาสติคนั้นก็คือ การขายโดยการปั่นน้ำผลไม้ธรรมดา โดยที่ไม่ต้องตักน้ำในโหลใส่ แต่กรรมวิธีการผลิตมีดังนี้

ส่วนผสม

เนื้อผลไม้ 1 แก้ว

น้ำแข็ง 3/4 ของแก้ว 16 ออนซ์

น้ำเชื่อมเข้มข้น 3 ออนซ์

วิธีทำ

นำส่วนผสมทั้งหมดปั่นรวมกัน เพียงแค่นี้ก็จะได้น้ำผลไม้ปั่นแสนอร่อยแล้วครับ

ในสูตรต่อไป ผู้เขียนจะขอเพิ่มกรรมวิธีการเพิ่มมูลค่าของสตรอเบอร์รี่แช่อิ่ม ซึ่งมีวิธีการทำง่ายๆ ดังนี้

เมื่อได้เนื้อสตรอเบอร์รี่แช่อิ่มมาแล้ว นำมาใส่กะละมัง ให้เนื้อสตรอเบอร์รี่ละลายจนแยกตัวจากการเกาะของน้ำแข็งจนเป็นอิสระ ต่อจากนั้นนำไส้ขนมปังรสสตรอเบอร์รี่ หรือที่เรียกว่า สตรอเบอร์รี่ฟิลลิ่ง เทลงไป 1 ถุง ขนาด 1 กิโลกรัม ต่อเนื้อสตรอเบอร์รี่ 1 กิโลกรัม หรือจะใช้เป็นสตรอเบอร์รี่ 2 กิโลกรัม ต่อฟิลลิ่ง 1 ถุง ก็ได้ จากนั้นคนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันอย่างเบามือ อย่าให้เนื้อสตรอเบอร์รี่เละ

ขั้นตอนต่อมาจึงเทน้ำเชื่อมเข้มข้นลงไปให้ได้ปริมาณตามต้องการ อย่าให้ใสไปหรือข้นไป กะให้พอดี หรือจะไม่ใช้น้ำเชื่อมก็ได้ แต่ปริมาณที่ได้จะน้อยและจะไม่คุ้มกับการลงทุนครับ

ให้ผู้อ่านสังเกตทัพพีพลาสติคในอ่างนะครับ นี่แหละครับ ผู้อ่านสามารถใช้ตักเนื้อพร้อมน้ำสตรอเบอร์รี่ลงไปปั่นได้เลยครับ เพราะทัพพีขนาดนี้จะสามารถตวงได้ 3 1/2 ออนซ์ ซึ่งพอเหมาะสำหรับการปั่นต่อ 1 แก้ว ครับ

หากท่านผู้อ่านต้องการปั่นครั้งละมากๆ แบบครั้งละ 70-80 แก้ว โดยบรรจุในถังไอศกรีม ซึ่งต้องใช้ถังปั่นแบบเกล็ดหิมะ มีวิธีทำดังนี้

ส่วนผสม

น้ำแข็งยูนิค 10-11 กิโลกรัม

น้ำเชื่อมเข้มข้น 2,700 ซีซี

เกลือ 30 กรัม

กรดมะนาว 30 กรัม

เนื้อสตรอเบอร์รี่แช่แข็ง 1/2 กิโลกรัม

วิธีทำ

1. ใส่น้ำแข็งลงไป

2. ใส่เนื้อสตรอเบอร์รี่ลงไป

3. ใส่ส่วนผสมทั้งหมดตามลงไป

4. ปั่นให้ละเอียด

5. ต่อจากนั้นนำไปบรรจุในถังไอศกรีม

น้ำเชื่อมเข้มข้นของการปั่นแบบเกล็ดหิมะ ไม่เหมือนน้ำเชื่อมเข้มข้นที่ใช้ปั่นแบบน้ำผลไม้ปั่น ซึ่งมีวิธีทำดังนี้

ส่วนผสม

น้ำตาลทราย 25 กิโลกรัม

น้ำสะอาด 10 ลิตร

(ผ่านเครื่องกรองพักน้ำทิ้งไว้ 2 คืน)

วิธีทำ

1. ตั้งน้ำให้เดือด

2. เติมน้ำตาลลงไป

3. ต้มให้เดือดจนอิ่มตัว ปล่อยให้เย็น จึงนำมาใช้ได้

เกร็ดความรู้

ผู้อ่านสามารถดัดแปลงการใส่วัตถุดิบได้ตามใจชอบครับ โดยวิธีการตรวจวัดด้วยสายตาถึงความเข้มข้นของผลิตภัณฑ์ที่ปั่นขึ้นมา และข้อสำคัญที่สุดเลยคือ สตรอเบอร์รี่ที่จะนำมาปั่นต้องเป็นสตรอเบอร์รี่เชื่อมธรรมดา ไม่ต้องมีส่วนผสมของฟิลลิ่งนะครับ

ผู้อ่านต้องดู อย่าให้สับสน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าจะใช้สตรอเบอร์รี่ที่มีส่วนผสมของฟิลลิ่งนำมาปั่นก็ได้ครับ แต่มันจะสิ้นเปลืองนิดหน่อย ส่วนถ้าจะทำเป็นสตรอเบอร์รี่สมูธตี้ ให้ผู้อ่านใช้โยเกิร์ต กลิ่นธรรมชาติแบบชนิดที่มีขายตามห้างแม็คโคร ชนิดบรรจุเป็นปี๊บ เพราะจะมีราคาถูกว่าชนิดที่มีขายตามซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป

ส่วนสตรอเบอร์รี่ปั่นที่เป็นที่นิยมของคนทั่วไปมีอีกสัก 3-4 อย่าง เช่น โยเกิร์ตสมูธตี้ นมเปรี้ยวสมูธตี้ และไอศกรีมสตรอเบอร์รี่โยเกิร์ต

ในสูตรต่อไปนี้คือ โยเกิร์ตสตรอเบอร์รี่ปั่นพร้อมเนื้อสตรอเบอร์รี่สด ตามความจริงแล้ว ถ้าเราจะใช้โยเกิร์ตกลิ่นสตรอเบอร์รี่อย่างเดียวปั่นก็สามารถที่จะทำได้เหมือนกัน แต่ความอร่อยจะน้อยลงไป สู้มีสตรอเบอร์รี่สดมาร่วมปั่นด้วยไม่ได้ วิธีการปั่นมีดังนี้

อยากให้ผู้อ่านสังเกตดูการใช้โยเกิร์ตนะครับว่า ในการปั่นแต่ละสูตรของน้ำปั่นสตรอเบอร์รี่มีมากมายหลายสูตร ดังเช่นสูตรที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ในเบื้องต้นคือ ใช้โยเกิร์ตทั้งกระปุกเลย แต่บางสูตรใช้แค่ 4-5 ช้อนชาเท่านั้น แต่เป็นการใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติสีขาวของดัชมิลล์ วิธีการทำมีดังนี้

ส่วนผสม

เนื้อสตรอเบอร์รี่ 4-5 ลูก

น้ำแข็งขนาดแก้ว 16 ออนซ์

น้ำเชื่อมเข้มข้น 3 ออนซ์

โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 4-5 ช้อนชา

วิธีทำ

นำส่วนผสมทั้งหมดปั่นรวมกันให้ละเอียด พร้อมใส่แก้วเตรียมเสิร์ฟ

นอกจากโยเกิร์ตรสธรรมชาติแล้ว เรายังสามารถที่จะใช้เป็นนมเปรี้ยวกลิ่นสตรอเบอร์รี่หรือกลิ่นต่างๆ ที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป นำมาปั่นก็ได้ ดังตัวอย่าง

1. นมเปรี้ยวกลิ่นสตรอเบอร์รี่

ขนาด 120 ซีซี 1 ขวด

2. น้ำแข็งแก้ว

ขนาด 16 ออนซ์ 1 แก้ว

3. น้ำเชื่อมเข้มข้น 2 1/2-3 ออนซ์

4. เนื้อสตรอเบอร์รี่ 2-3 ลูก

วิธีทำ

นำส่วนผสมทั้งหมดปั่นรวมกัน พร้อมเสิร์ฟ



อ้างอิงที่มา : เส้นทางเศรษฐี

อุทยานแห่งชาติผาแต้ม

มีพื้นที่ประมาณ 140 ตารางกิโลเมตร ในเขตอำเภอโขงเจียม อำเภอศรีเมืองใหม่ และอำเภอโพธิ์ไทร ได้ รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2534 สภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบสูง และเนิน เขา มีหน้าผาสูงชันซึ่งเกิดจากการแยกตัวของผิวโลก สภาพป่าโดยทั่วไปเป็นป่าเต็งรัง มีหินทรายลักษณะ แปลกตากระจายอยู่ทั่วบริเวณ มีพันธุ์ไม้ดอกที่สวยงามขึ้นอยู่ตามลานหิน
การเดินทางจากอำเภอโขงเจียมใช้ เส้นทาง 2134 ต่อด้วยเส้นทาง 2112 แล้วแยกขวาไปผาแต้ม อีกราว 5 กิโลเมตร รวมระยะทางจาก โขงเจียมประมาณ 18 กิโลเมตร สถานที่น่าสนใจในอุทยานฯ ได้แก่

เสาเฉลียง
อยู่ก่อนถึงผาแต้มประมาณ 3 กม. เป็นหินตั้งซ้อนกันโดยธรรมชาติ มีลักษณะคล้ายดอกเห็ดเรียงรายกันอยู่มากมาย ซึ่งหินดังกล่าวจะปรากฏเห็นซากเปลือกหอย กรวด ทราย อยู่ในแผ่นดินขนาดใหญ่ ซึ่งนักธรณีวิทยาสันนิษฐานว่า เมื่อประมาณล้านกว่าปีมาแล้ว บริเวณนี้คงจะเป็นทะเลมาก่อนอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม เสาเฉลียง

ลานหินแตก
ประติมากรรมทางธรรมชาติอีกชิ้น จากการซึกกร่อนโดยพลังน้ำและความร้อนทางธรรมชาติอยู่เลยจากเสาเฉลียงไปทางด้านหลัง

ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
เปิด 08.00-16.30 น.ไทยทัวร์แนะนำให้นักท่องเที่ยวพักเหนื่อยพร้อมเรียนรู้ข้อมูลอุทยานฯก่อนเที่ยวชมสถานที่ต่างๆศูนย์บริการฯอยู่ใกล้ลานจอดรถ เป็นอาคารปูนชั้นเดียว มีห้องโถงจัดแสดงภูมิประเทศของ อุทยานฯ และสัตว์ป่า มีรูปภาพสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง เช่น น้ำตก ลานดอกไม้ จำหน่ายของที่ระลึก ด้านหลังเป็นจุดชมวิวแม่น้ำโขงที่สวยงามเราสามารถของแผนที่เดินเท้าไปชมภาพเขียนสีโบราณได้ อย่างน้อยก็รู้ว่าเราเองสามารถเดินไปชมได้มากน้อยแค่ไหน เพราะภาพเขียนสีโบราณแต่ละจุดไม่ใกล้กันเลย

ภาพเขียนโบราณ
บริเวณด้านล่างของผาแต้มมีภาพเขียนสี ก่อนประวัติศาสตร์ปรากฏเรียงรายอยู่เป็นระยะ มีอายุไม่ต่ำกว่าสามพันถึงสี่พันปี ทางอุทยานฯ ได้ทำทางเดินจากหน้าผาด้านบนลงไปชมภาพเขียนสีเหล่านี้ที่หน้าผาด้านล่าง ระยะทางประมาณ 500 เมตร ภาพเขียนจะอยู่บนผนังหน้าผายาวติดต่อกันประมาณ 180 เมตร ซึ่งเป็นมุมต่ำกว่า 90 องศา มีภาพทั้งหมด ประมาณ 300 ภาพ แบ่งเป็น 5 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ภาพคนทำนา ภาพสัตว์ ภาพมือ ภาพลายเรขาคณิต และภาพตุ้ม (เครื่องมือจับปลาของชาวประมงริมโขง)
ด้านตรงข้ามผา แต้มคือ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหมาะสำหรับผู้ที่สนใจจะชม พระอาทิตย์ขึ้นก่อนที่แห่งใดในประเทศไทย ในบริเวณดังกล่าวในลักษณะเดียวกันกับที่หมู่บ้านเวินบึกที่ตั้ง อยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขงไม่ไกลจากบริเวณแม่น้ำสองสีมากนัก ซึ่งทุกวันนี้จะมีนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปท่อง เที่ยวเป็นจำนวนมาก
ภาพเขียนโบราณแบ่งเป็น 4 ชุดใหญ่ๆ ชุดที่สวยและชัดเจนที่สุดคือ

ถ้ำมืด
ตั้งอยู่ที่บ้านซะซอม ตามทางหลวงหมายเลข 2112 เลี้ยวซ้ายไปทางบ้านทุ่งนาเมือง ประมาณ15 กิโลเมตร เป็นถ้ำขนาดกว้าง 4 เมตร สูง 6 เมตร ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปแกะสลัก เรียงรายกันมากมาย แสดงว่าคงจะเคยใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนามาก่อน
รายละเอียดเพิ่มเติม

อ้างอิง อุทยานแห่งชาติ

อาหารพื้นเมืองไทย

ซุปหน่อไม้

หน่อไม้เป็นอาหารที่นิยมในทุกภาค คนไทยนำหน่อไม้มาลวกหรือต้มให้สุกก่อนที่จะนำมารับประทานไม่นิยมรับประทานสดๆ เข้าใจว่ารสชาติคงสู้หน่อไม้ลวก หรือต้มไม่ได้เพราะหน่อไม้ดิบจะออกรสขื่นขม อีกประการหนึ่งเนื่องจากหน่อไม้มีไซยาไนด์อยู่จำนวนมากหากรับประทาน ดิบๆ อาจเกิดการตกค้างในร่างกายได้ คนสมัยก่อนนิยมทำให้สุกก่อน เพื่อให้ไซยาไนด์มีจำนวนน้อยลงแต่เขาไม่สามารถอธิบายเหตุผลนี้ได้ นี่ถือได้ว่าเป็นภูมิปัญญาอันหนึ่งของคนไทย
การนำหน่อไม้มาปรุงอาหารนั้น มีด้วยกันหลายวิธี เช่น นำไปลวกหรือต้มรับประทานเป็นผักจิ้มร่วมกับน้ำพริกหลากหลายชนิดได้ หรือนำไปปรุงเป็นอาหารได้หลายชนิด เช่น แกงจืด แกงเผ็ด แกงคั่ว ผัดเผ็ด เป็นต้น นอกจากนี้คนไทยยังมีวิธีถนอมอาหารเพื่อเก็บหน่อไม้ไว้รับประทานนอกฤดูกาล โดยทำเป็นหน่อไม้ดองหรือหน่อไม้ปี๊บ (หน่อไม้ต้มและบรรจุในภาชนะปิดมิดชิด)
ซุปหน่อไม้ เป็นอาหารอีกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีและแพร่หลายในทุกภาค เนื่องจากมีกรรมวิธีการทำที่ง่ายและไม่ยุ่งยาก
หน่อไม้รวกขูดเป็นเส้นฝอย
300 กรัม
ใบย่านาง
20 ใบ (15 กรัม)
น้ำคั้นจากใบย่านาง
2 ถ้วย
น้ำปลาร้า
½ ถ้วย (50 กรัม)
เกลือ
½ ช้อนชา (4 กรัม)
น้ำปลา
1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)
มะนาว
2–3 ช้อนโต๊ะ (45 กรัม)
ผักชีฝรั่งซอย
2 ต้น (7 กรัม)
ต้นหอมซอย
2 ช้อนโต๊ะ (30 กรัม)
ใบสะระแหน่เด็ดเป็นใบ
½ ถ้วย (50 กรัม)
งาขาวคั่ว
1 ช้อนชา (8 กรัม)
พริกป่น
1 ช้อนชา (8 กรัม)
ข้าวเหนียว
1 ช้อนโต๊ะ (15 กรัม)
1. นำหน่อไม้สดมาเผาไฟให้สุกลอกเปลือกที่ไหม้ไฟออกและล้างน้ำให้สะอาด นำหน่อไม้มาขูดด้วยปลายมีด หรือส้อมทำให้เป็นเส้นยาวๆ 2. นำใบย่านางล้างให้สะอาด โขลกและนำมาคั้นกรองเอาน้ำที่ข้นจัด 2 ถ้วย 3. นำข้าวเหนียวที่แช่น้ำสักครู่มาโขลกให้ละเอียด 4. นำเครื่องปรุงที่เตรียมจากข้อ 1-3 ใส่ในหม้อ คนให้เข้ากันยกขึ้นตั้งไฟจนเดือดสักครู่ใส่น้ำปลาร้า เกลือ น้ำปลา ยกลงและทิ้งไว้ให้หายร้อนหรือขณะยังอุ่นอยู่ 5. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว พริกป่น คลุกเคล้าให้เข้ากัน ตักใส่จานโรยหน้าด้วยงาคั่ว ต้นหอม ผักชีฝรั่ง ใบสะระแหน่ รับประทานกับผักสด
1. หน่อไม้ มีรสขมหวานร้อน - ราก รสอร่อยเอียนเล็กน้อย ใช้ขับปัสสาวะ แก้ไตพิการ - ใบไผ่ เป็นยาขับฟอกล้างโลหิตระดูที่เสีย 2. ย่านาง มีรสจืดทั้งต้นนำมาปรุงเป็นยาแก้ไข้กลับ - ใบ ใช้เป็นยาถอนพิษ ปรุงรวมกับยาอื่นแก้ไข้ - ราก แก้เบื่อเมา กระทุ้งพิษไข้ แก้เมาสุรา ถอนพิษผิดสำแดง 3. มะนาว เปลือกผลรสขม ช่วยขับลม น้ำในลูกรสเปรี้ยว แก้เสมหะ แก้ไอ แก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิต 4. ผักชี ช่วยละลายเสมหะ แก้หัด ขับเหงื่อ ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เจริญอาหาร 5. ต้นหอม - ใบ รสหวานเผ็ดเค็มฉุน แก้ไข้หวัดคัดจมูก น้ำมูกไหล แก้โรคตา แก้ไข้กำเดา 6. สะระแหน่ - ใบ/ยอดอ่อน รสหอมร้อน ขับเหงื่อ แก้ปวดท้อง ขับลมในกระเพาะลำไส้ แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ แก้อาการเกร็งของกล้ามเนื้อ 7. งา - เมล็ด รสฝาดหวานขม ทำให้เกิดกำลัง ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย - น้ำมัน รสฝาดร้อน ทำน้ำมันใส่แผล 8. พริกขี้หนู รสเผ็ดร้อน ช่วยเจริญอาหาร ขับลม ช่วยย่อย 9. ข้าวเหนียว รสมัน หอมหวาน บำรุงร่างกาย แก้ตาฟาง แก้เหน็บชา แช่น้ำตำเป็นแป้งพอกแก้ปวด
ซุปหน่อไม้เป็นอาหารที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น เนื่องจากหน่อไม้มีเส้นใย และกากอาหารมาก
ซุปหน่อไม้ 1 ชุด ให้พลังงานต่อร่างกาย 480 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย - น้ำ 425.7 กรัม - โปรตีน 30 กรัม - ไขมัน 21.946 กรัม - คาร์โบไฮเดรต 40 กรัม - กาก 9.628 กรัม - แคลเซียม 284.4 มิลลิกรัม - ฟอสฟอรัส 247.07 มิลลิกรัม - เหล็ก 14.587 มิลลิกรัม - เบต้า-แคโรทีน 0.6 ไมโครกรัม - วิตามินเอ 9209.3 IU - วิตามินบีหนึ่ง 0.8251 มิลลิกรัม - วิตามินบีสอง 1.3 มิลลิกรัม - ไนอาซิน 46.65 มิลลิกรัม - วิตามินซี 36.5 มิลลิกรัม

อ้างอิง สถาบันการแพทย์แผนไทย

ดื่มน้ำ...เพื่อสุขภาพ

การดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง การดื่มน้ำเมื่อท้องว่างผ่านกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาสุขภาพที่ดี ในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้ เป็นที่นิยมดื่มน้ำทันที หลังจากตื่นนอนตอนเช้า (ก่อนแปรงฟัน) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี มีการทดรองทางวิทยาศาสตร์ พบว่าน้ำสามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล 100% (แบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา) ปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็ว โรคลมบ้าหมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไตและยูริก โรคแสลงคลื่นไส้ต่างๆ โรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตา โรคภายในสตรี มะเร็ง รอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก วิธีการปฏิบัติ 1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว ( 640 ซีซี ) 2. หลังจากนั้นสามารถและล้างหน้าอาบน้ำได้ แต่ต้องไม่ดื่ม หรือรับประทานอะไร จนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ 3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที ไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอะไร จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป 4. ผู้ป่วย หรือคนชรา ที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ให้ค่อยๆ ดื่ม ค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้ว ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าว จะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่ค่อยๆเบาและหายขาดได้ในที่สุด ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น แลหลังดื่มน้ำไปแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง จะปวดปัสสาวะ จากสถิติข้อมูลโรคที่บำบัดรักษา ทำให้หายได้ภายในเวลา ดังนี้ 1. โรคความดันโลหิตสูง 30 วัน 2. โรคกระเพาะ 10 วัน 3. โรคเบาหวาน 30 วัน 4. โรคท้องผูก 10 วัน 5. โรคมะเร็ง 180 วัน 6. โรควัณโรค 90 วัน 7. โรคไขข้ออักเสบจะเห็นผลภายใน 3 วัน

อ้างอิง ฟากฟ้าทะเลฝัน (ทีมงาน TeeNee.Com)

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

มะละกอสมุนไพรพื้นบ้าน

มะละกอ (Papaya, Pawpaw, Tree Melon)

ชื่อวิทยาศาสตร์ Carica papaya L.
วงศ์ CARICAEAE
มะละกอ เดิมเป็นผลไม้พื้นเมืองของทวีปอเมริกา แต่ที่เข้ามาออกลูกออกหลานขยายพันธุ์อยู่เต็มบ้านของเราได้ เพราะชาวยุโรปได้นำมาแพร่พันธุ์จนกระทั่งได้กระจายไปทั่วทุกภาคเอเชีย โดยเฉพาะบ้านเราที่ขึ้นชื่อมาก แม้แต่ฝรั่งยังรู้จักกันอย่างกว้างขวางในนามใหม่ว่า ปาปา ย่า ป๊อก ป๊อก
ลักษณะทั่วไป มะละกอ เป็นพรรณไม้เนื้ออ่อน สูงได้ถึง 8 เมตร ไม่แตกกิ่งก้านสาขา ลำต้นตรงมีเนื้ออ่อนฉ่ำน้ำ
ใบ เป็นแฉก มีรอยเว้าเล็กๆ คล้ายขนนก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 60 ซ.ม.
ดอก เป็นช่อ ดอกตัวผู้มีสีเหลืองออกสีเขียวอ่อน กลีบบางยาวประมาณ 2 ซ.ม. ดอกตัวเมียไม่มีก้านดอก ยาวประมาณ 7 ซ.ม. ออกเป็นดอกเดี่ยวและกระจุก กลีบดอกสีขาวออกเหลือง
ผล มีลักษณะกลมยาวรี ผลอ่อนภายนอกมีสีเขียวเนื้อในสีขาว แต่เมื่อสุกงอมได้ที่จะมีสีเหลืองส้ม เนื้อหนา นุ่ม รสฉ่ำหวาน มีเมล็ดคล้ายรูปไข่สีน้ำตาลดำ ผิวขรุขระอ่อนค่อนข้างมาก ยาว 6-7 ซ.ม. มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 4-5 ซ.ม.
ส่วนที่ใช้ ผล ยาง ราก ใบ

สรรพคุณทางยาสมุนไพร
นำผลดิบและผลสุกมาต้มกินเป็นยา ขับน้ำดี น้ำเหลือง บำรุงน้ำนม ขับพยาธิ รักษาโรคริดสีดวงทวาร ผลสุกเป็นยาแก้ท้องผูกที่วิเศษสุดๆ ถ่ายคล่องเป็นยาระบายได้อย่างดีเยี่ยม นำเนื้อสุกมาปั่น แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออกใบหน้าจะชุ่มชื้นขึ้น
คุณค่าทางอาหาร
มะละกอ สามารถนำไปประกอบอาหารต่างๆ ได้อย่างวิเศษมากมายหลายอย่าง
มะละกอดิบ ถ้าใช้ทำเป็นอาหารยอดนิยม คงหนีไม่พ้นส้มตำ
มะละกอดิบ หั่นเป็นแว่นๆ พอคำ นำไปแกงส้มใส่ปลาช่อนใส่กุ้ง
มะละกอสุก นำมาปลอกเปลือกแล้วล้างให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปปั่น ผสมน้ำตาล และเกลือป่น ตามอัตราส่วนที่เหมาะสม และเหมาะสำหรับคลายร้อนได้เป็นอย่างดี และมีคุณค่าทางโภชนาการอาหารอย่างมากมาย
มะละกอมีเกลือแร่ และวิตามินมาก มีคุณค่าทางอาหารไม่น้อย แคลเซียมในมะละกอช่วยป้องกันฟันผุ วิตามินซีช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน วิตามินเอช่วยในบำรุงสายตาและระบบประสาท และยังมีสารอาหารอื่นๆ อีกมาก

อ้างอิงหนังสือ คัมภีร์แพทย์สมุนไพร ผลไม้สมุนไพร และพืชผักสวนครัว

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ภาษาสากลกับภาษาที่โลกลืม

ภาษาถือเป็นวัฒนธรรมของมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการอุบัติขึ้นของมนุษย์ในโลกกลม ๆ ใบนี้ แต่น่าใจหายไม่น้อย เมื่อทราบว่าภาษาอีกหลายร้อยหลายพันภาษาที่อยู่คู่กับมนุษย์มายาวนาน กำลังจะถึงกาลอวสาน หาผู้สืบทอดต่อไปไม่ได้ ด้วยเหตุผลสำคัญหลายอย่าง ก่อนหน้านี้ อาจจะเคยได้ยินคนพูดภาษาอูดิฮี ในแถวไซบีเรีย, ภาษาอียัค ในดินแดนอลาสกา หรือภาาาอะริคาปู ในป่าดงดิบแถบอเมซอน นับจากนี้ต่อไปอีกไม่นานนัก เราอาจจะไม่ได้ยินภาษาเหล่านี้แล้วก็ได้
ในจำนวนภาษาที่มนุษย์ใช้อยู่ทั่วโลกเวลานี้ มีถึง 6,800 ภาษา แต่แทบไม่น่าเชื่อว่าภาษาเหล่านี้กว่าครึ่งหนึ่ง ถึงร้อยละ 90 อาจจะอันตรธานหาบสาปสูญไปจากโลกมนุษย์ภายใน100 ปีนี้ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? "สถาบันเวิลด์วอตช์" องค์กรเอกชนที่เฝ้าติดตามแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของโลก นำข้อมูลที่ได้ศึกษามาเปิดเผยต่อสาธารณชนว่า เหตุผลหนึ่งก็คือว่า กว่าครึ่งหนึ่งของภาษาที่ใช้กันทั่วโลก แต่ละภาษามีคนพูดน้อยกว่า 2,500 คน ซึ่งถือว่าน้อยเหลือเกิน และหนักหนาสาหัสมากที่จะธำรงรักษาให้ภาษาคงอยู่ต่อไปนี้
ด้านองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติหรือยูเนสโกระบุว่า การสืบทอดภาษาให้คงอยู่ต่อไปจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกคนอีกรุ่นหนึ่งนั้นจำเป็นต้องมีคนพูดภาษานั้น ๆ ได้อย่างน้อย 100,000 คนขึ้นไป
สำหรับ 10 ภาษาที่กลายเป็นภาษาสากลยอดนิยมที่มีจำนวนผู้พูดมากที่สุดในโลกนั้น ประกอบด้วย ภาษาจีนกลาง มีผู้พูดมากที่สุด 885 ล้านคน ภาษาสเปน 332 ล้านคน, ภาษาอังกฤษ 322 ล้านคน, ภาษาอารบิค 220 ล้านคน, ภาษาเบงกาลี 189 ล้านคน, ภาษาฮินดี 182 ล้านคน, ภาษาโปรตุเกส 170 ล้านคน, ภาษารัสเซีย 170 ล้านคน, ภาษาญี่ปุ่น 125 ล้านคน และภาษาเยอรมัน 98 ล้านคน
ในขณะที่ภาษาไทยของเรานั้น แน่นอนอยู่แล้วว่า 62 ล้านคนในประเทศไทย ต้องพูดภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติที่แสดงถึงวัฒนธรรม ประเพณี และความเป็นไทยอยู่แล้วและต้องไม่ลืมว่า เรายังมีคนไทยที่ไปอาศัยอยู่ในต่างแดน ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็ยังอนุรักษ์และใช้ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ นอกจากนั้นแล้ววิชาภาษาไทย ยังถูกบรรจุอยู่ในวิชาภาษาต่างประเทศของการศึกษาในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศบางประเทศด้วย ซึ่งเราควรจะภาคภูมิใจในภาษาไทยของเรา
ย้อนกลับมาที่ภาษาที่โลกลืมกันต่อ สงครามและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ การยึดครองและภัยธรรมชาติรุนแรง กล่าวได้ว่าเป็นสาเหตุหลักของการทำลายล้างภาษาให้สิ้นไปจากโลก เพราะมนุษย์จะเสียชีวิตไปเพราะสาเหตุเหล่านี้เป็นจำนวนมหาศาล พร้อม ๆ กับภาษาที่พวกเขาใช้ด้วย
เวิลด์วอตช์ระบุว่า ขณะนี้ มีคนพูดภาษาอูดิฮี ได้แค่ 100 คน ส่วนภาษาอะริคาปู มีคนพูดได้น้อยยิ่งกว่า เพียง 6 คนเท่านั้น แต่ที่น่าตกใจที่สุดเห็นจะเป็นภาษาอียัค ที่มีคนพูดได้เพียงคนเดียวในโลก คือคุณยายมารี สมิธ วัย 83 ปี อาศัยอยู่ในเมืองอันโชเรจ รัฐอลาสกา เธอคือคนสุดท้ายที่พูดภาษานี้ได้ และอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้าภาษาอียัค ก็จะสูญสิ้นไปพร้อมกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของคุณยายวัยดึกผู้นี้
ดูแล้ว ภาษาอียัค น่าจะเป็นภาษาต่อไปที่สูญหายจากโลก คงเหลือแต่เพียงประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ในหนังสือว่าครั้งหนึ่งยังมีภาษานี้ใช้ในโลกมนุษย์ ให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้รับทราบกันเพียงเท่านั้น
คงจะยังจดจำกันได้เป็นอย่างดีกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในอินเดียในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ต้อนรับปีใหม่ของปี 2544 โดยได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงขึ้นในภาคตะวันตกของอินเดีย ทำให้มีประชาชนที่พูดภาษากุดจี ตายเป็นเบือ ประมาณ 30,000 คน เหลือผู้พูดภาษานี้จริง ๆ เพียง 770,000 คน เท่านั้น นับว่าเป็นเหตุการณ์วิปโยคที่นอกจากจะสร้างความเสียหายในด้านเศรษฐกิจแล้ว คงไม่มีใครคิดว่าจะส่งผลกระทบอย่างร้ายกาจต่อมรดกวัฒนธรรมของประชาชนในพื้นที่ด้วย
สถานการณ์ใกล้ "สูญพันธุ์" เริ่มเห็นราง ๆ แล้วสำหรับภาษากุดจี หากคน 770,000 คน ไม่ช่วยกันอุ้มชูรักษาไว้ ก็น่าจะสาปสูญไปเช่นกัน ตัวอย่างนี้น่าจะเห็นชัดว่า ภัยธรรมชาติเป็นอันตรายเพียงใดต่อวัฒนธรรมของมนุษย์
สำหรับ 8 ประเภทที่มีภาษาใช้อย่างดาษดื่นมากที่สุด ประกอบด้วย ปาปัวนิวกินี มี 832 ภาษา, อินโดนีเซีย 731 ภาษา, ไนจีเรีย 515 ภาษา, อินเดีย 400 ภาษา, เม็กซิโก แคเมอรูน และออสเตรเลีย มีประเทศละ 300 ภาษา และบราซิลมี 234 ภาษา โดยอินเดียนั้น มีภาษาราชการใช้ถึง 15 ภาษา มากกว่าประเทศอื่นใดทั้งหมด
การสูญสิ้นไปของภาษาพูดไม่ใช่เป็นของใหม่ที่เพิ่งจะเกิดขึ้น แต่เชื่อว่ามีภาษานับพันภาษาได้หาบสาปสูญไปก่อนหน้านี้แล้ว
บรรดานักภาษาศาสตร์เชื่อกันว่า ภาษาพูดของมนุษย์ 3,400 - 6,120 ภาษา อาจจะสูญหายภายในปี 2643 หรืออีกประมาณ 100 ปีข้างหน้า ซึ่งก็เท่ากับจะมีภาษาพูดสูญหายไป 1 ภาษาในทุก 2 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม นับว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะมีหลายภาษากำลังง่อนแง่นใกล้สูญไป แต่ยังมี 2 - 3 ภาษา ซึ่งก็รวมทั้งภาษาจีน, กรีก และฮิบรู อันเป็นภาษาโบราณที่ใช้กันมามากกว่า 2,000 ปี กำลังจะฟื้นคืนชีพรอดพ้นจากการสูญหายไป เนื่องจากมีผู้คนหันกลับมาพูดภาษาเหล่านั้นแล้วอย่างน่ายินดี
แม้ว่าภาษาบางภาษากำลังใกล้ถึง "จุดจบ" แต่ก็ใช่ว่า เจ้าของภาษาจะไม่ดิ้นรนขวนขวายเพื่อรักษาภาษาพูดของเขาไว้ชั่วลูกชั่วหลานต่อไป ในปี 2526 ชาวฮาวายได้จัดตั้งองค์กร "อะฮา ปูนานา ลีโอ" ขึ้นเพื่อพลิกฟื้นกอบกู้ภาษาพื้นเมืองของพวกเขาที่เคยใช้กันอยู่ทั่วไปบนเกาะฮาวายแห่งนี้ โดยจัดให้มีการเรียนการสอนในโรงเรียนของรัฐด้วย ว่ากันตามความเป็๋นจริงแล้ว ภาษาพื้นเมืองของชาวฮาวายก็เกือบเอาตัวไม่รอดแล้วเช่นกัน เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯสั่งห้ามไม่ให้สอนภาษานี้แก่เด็กนักเรียนในโรงเรียนบนเกาะฮาวายมาตั้งปี 2441 แล้ว
องค์กร "อะฮา ปูนานา ลีโอ" ซึ่งหมายถึง "เครือข่ายภาษา" ได้รื้อฟื้นเปิดสอนภาษาพื้นเมืองฮาวายในโรงเรียนอนุบาลในปี 2527 หลังจากที่สอนในโรงเรียนมัธยม จนสามารถผลิตนักเรียนรุ่นแรกที่จบหลักสูตรภาษานี้ในปี 2542 จนถึงขณะนี้ เป็นที่น่ายินดีอย่างมากว่า มีชาวฮาวายประมาณ 7,000 - 10,000 คน สามารถพูดภาษาพื้นเมืองนี้ได้ จากเดิมที่มีอยู่ไม่ถึง 1,000 คนเมื่อปี 2526 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากทีเดียวสำหรับโครงการชุบชีวิตของภาษานี้ และน่าจะถือเป็นแบบอย่างได้สำหรับภาษาที่กำลังใกล้สูญหาย เพราะทำได้ในลักษณะเดียวกันนี้ก็ถือว่ายังไม่สายเกินแก้


อ้างอิงหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์