วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ทำอย่างไรถ้าเข่าและข้อศอกด้าน

ทำอย่างไรถ้าเข่าและข้อศอกด้าน


อะไรก็ดูดีไปหมด แต่เสียอย่างเดียว ข้อศอก และหัวเข้าแห้งกร้าน ดำปี๋เชียว แล้วจะทำยังไงดี ???? วันนี้เรามีวิธีขจัดความแห้งกร้านเหล่านี้มาฝากค่ะ

วิธี แรกเปนวิธีแบบธรรมชาติ เริ่มด้วยการผ่ามะนาวเป็น 2 ซีก แล้วนำมาขัดที่รอยหยาบกร้านเบา ๆ หรือจะเปลี่ยนจากมะนาวเป็นมะขามเปียกที่เราเอาไว้ใช้ทำกับข้าวก็ได้ แค่นี้รอยหยาบกร้านก็จะค่อย ๆ หายไป แต่แนะนำว่าควรจำทำสักสัปดาห์ละครั้ง หรือทุกครั้งที่มีเวลา และทำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลดี และไม่กลับไปดำเหมือนเก่าอีก

ส่วน อีกวิธีหนึ่งคือ นำน้ำตาลทรายนำมาผสมกับนำมันที่ใช้สำหรับทาผิว (เบบี้ออยล์) ทาที่หัวเข้า และข้อศอก ทิ้งเอาไว้ 15 นาที หลังจากนั้นก็ใช้ใยบวบที่ใช้ถูหลังเวลาอาบน้ำถูเป็นวงกลมเบา ๆ น้ำตาลจะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าส่วนน้ำมันให้ความชุ่มชื่นกับผิว

และ ที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ หลังจากที่ขัด ๆ ถูๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมที่จะทาครีมบำรุงผิว โดยเลือกที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง ทาเป็นประจำ เท่านี้รับรองว่าคุณจะไม่ปวดหัวกับปัญหาเข่าและข้อศอกด้านอีกแล้ว...


ที่มา prettygang

รักษาดวงตาเมื่อต้องอยู่หน้าคอม

1. หมั่นกระพริบตาให้บ่อยขึ้น

อาการ ตาแห้งเกิดจากเมื่อเรามีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบตาจะลดลงจาก 20-22ครั้ง ต่อนาที เหลือเพียง 6-8 ครั้ง ต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ก็ต้องกระพริบตาบ่อยขึ้น



2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม

ปรับ ความสูงของจอให้เหมาะสม โดยระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเรา ควรอยู่ระหว่าง 20-28 นิ้ว หรือประมาณ 1 ช่วงแขน จุดศูนย์กลางของคอมพิวเตอร์ควรอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4-9 นิ้ว ไม่ควรอยู่สูงหรือต่ำกว่านี้มากนัก และควรจะตั้งตรงหน้า ตำแหน่งการวางคอมพิวเตอร์ควรจะให้หน้าต่างอยู่ด้านข้างของโต๊ะ เพื่อป้องกันไม่ให้แสงตกสะท้อนหน้าจอ



3. ปรับตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้น .



4. เลือกแว่นที่ใช้กับคอมพิวเตอร์

ควรใช้เลนส์สีชมพูอ่อน จะช่วยให้สบายตาขึ้นภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ สำหรับคนที่ใส่แว่นควรปรึกษาจักษุแพทย์





5. เบรกซะบ้าง ทุกๆชั่วโมง

ควรลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายสัก 10 นาที เพื่อพักสายตา และป้องกันไม่ให้เกิดความเมื่อยล้า



6. เปลี่ยนจอใหม่

เลือกใช้จอชนิดLCD ( จอแบน) แม้ราคาจะแพงกว่าจอธรรมดา (CRT) แต่ช่วยถนอมตาได้มาก

ชาเขียวมีประโยชน์ต้องชงดื่ม ไม่ใช่ดื่มจากขวด

ปัจจุบันกระแสการบริโภคชาเขียวกำลังเป็น ที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย ทำให้มีการนำชาเขียวมาดัดแปลงเป็นสินค้าที่มีอยู่ตามท้องตลาดมากมายหลายชนิด ซึ่งส่งผลทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากชาเขียวกลายเป็นสินค้าที่มียอดขายสูง

อย่าง ไรก็ตาม หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า แท้ที่จริงแล้ว การดื่มชาเขียวให้ถูกต้องและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดนั้น จะต้องดื่มให้ถูกวิธีจึงจะได้รับสารสำคัญต่างๆ ที่มีอยู่อย่างครบถ้วน ที่สำคัญคือ มีข้อมูลจากทางการแพทย์แผนจีนยืนยันด้วยว่า การดื่มจากขวดนั้นเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง

มานพ เลิศสุทธิรักษ์ นายกสมาคมแพทย์แผนจีนในประเทศไทย ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การนำชาเขียวมาใช้ควบคู่กับพืชชนิดอื่น ๆ จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการรักษาโรคได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ สำหรับวิธีการใช้มีด้วยกันทั้งหมด 15 วิธี คือ

1.การใช้ชาเขียวร่วมกับใบหม่อน ที่ช่วยป้องกันโรคหวัด ลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
2.การใช้ชาเขียวกับส่วนหัวของต้นหอม จะช่วยขับเหงื่อ แก้ไข้หวัด
3.การใช้ชาเขียวร่วมกับขิงสด ช่วยรักษาอาการอาหารเป็นพิษและจุกลม
4.การใช้ชาเขียวร่วมกับตะไคร้แห้งจะช่วยขับไขมันในเส้นเลือด
5.การใช้ชาเขียวร่วมกับคึ่นฉ่ายจะช่วยในการลดความดันโลหิต
6.การใช้ชาเขียวร่วมกับไส้หมาก ลดน้ำตาลในเส้นเลือด
7.การใช้ชาเขียวร่วมกับดอกเก๊กฮวยสีเหลือง จะช่วยแก้วิงเวียนศีรษะ ตาลาย
8.การใช้ชาเขียวร่วมกับลูกเดือย จะลดอาการบวมน้ำ ตกขาว และมดลูกอักเสบ
9.การใช้ชาเขียวร่วมกับเม็ดเก๋ากี้ จะช่วยลดความอ้วน แก้ตาฟาง
10.การใช้ชาเขียวร่วมกับโสมอเมริกา ทำให้สดชื่น บำรุงหัวใจ แก้คอแห้ง
11. การใช้ชาเขียวร่วมกับเนื้อลำไยแห้ง จะบำรุงสมอง เสริมความจำ
12. การใช้ชาเขียวร่วมกับบ๊วยเค็ม จะช่วยบรรเทาอาการคอแห้ง แสบคอ เสียงแหบ 13. การใช้ชาเขียวร่วมกับหนวดข้าวโพด จะลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลในเส้นเลือด ลดอาการบวมน้ำ
14. การใช้ชาเขียวร่วมกับน้ำตาลกลูโคส จะช่วยบรรเทาอาการตับอักเสบ
และ 15.การใช้ชาเขียวร่วมกับเม็ดบัว จะช่วยบรรเทาอาการฝันเปียก และยับยั้งการหลั่งเร็ว

นอก จากนี้ นายกสมาคมแพทย์แผนจีนในประเทศไทยยังบอกถึงคุณสมบัติหลักของชาเขียวด้วยว่า นอกจากสรรพคุณในเรื่องของการขับพิษ ขับปัสสาวะ ขับไขมันในเส้นเลือด ทำให้เย็น ชุ่มคอแล้ว รสขมอมหวาน หอม ในชาเขียวยังให้ประโยชน์ในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้หลายโรค ทั้งยังช่วยผ่อนคลายอารมณ์ สงบประสาท ระบายความร้อนตื้อ จากศีรษะและเบ้าตา ช่วยให้สดชื่น ไม่ง่วงนอน ช่วยให้หายใจสดชื่น เจริญอาหาร แก้เมาเหล้า ทำให้สร่างเมา ขับปัสสาวะ ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต และสามารถขับเหงื่อ แก้หวัด

ขณะเดียวกันชาเขียวยัง ช่วยแก้กระหาย ระบายร้อนจากระบบปอด ขับเสมหะ ขับไขมัน ลดความอ้วน แก้ร้อนใน ขับพิษตกค้าง บิด ท้องร่วง ท้องเสีย ช่วยทำให้ฟันแข็งแรงและที่ได้ผลดีคือสามารถเป็นยาอายุวัฒนะ

อย่าง ไรก็ตาม นอกจากความมหัศจรรย์ของชาเขียวที่สามารถรักษาโรคภายในได้แล้วยังสามารถช่วย รักษาโรคภายนอกได้ด้วย เช่น พอกแผลอักเสบ พุพอง ฝีหนอง ไฟไหม้ ผื่นคัน ผิวร้อนแห้ง ช่วยให้ตาสว่าง เย็น ไม่อักเสบ สามารถดับกลิ่น เป็นยากันยุง และนำไปทำหมอนใบชาเพื่อลดอาการปวดหัวเวลานอนได้อีก

ทั้ง นี้ ชาที่ดีจะต้องมีรสขมอมหวานและมีกลิ่นหอม โดยในชาเขียวมีสารต่างๆ ที่อยู่ในใบชา 300-400 ชนิด แต่มีสารสำคัญอยู่ 6 ชนิด คือ 1.กาเฟอีนซึ่งช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น มีผลต่อการเต้นของหัวใจ ผ่อนคล้ายกล้ามเนื้อ และสามารถขับปัสสาวะได้ดี 2.ทิโอฟิลีนช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น ส่งผลต่อการเต้นของหัวใจ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและช่วยในการขับปัสสาวะ 3.ทิโอโบรมีนช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น มีผลต่อการเต้นของหัวใจ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและช่วยในการขับปัสสาวะ 4.แทนนิน 5.มีวิตามินต่าง ๆ เช่น B1,B2,B3,B5, A,D,E,K, C และ 6.มีแร่ธาตุ,ไขมันและน้ำตาล

นายก สมาคมแพทย์แผนจีนในประเทศไทย ให้ข้อมูลเพิ่มเติม แม้ชาเขียวจะมีประโยชน์กับร่างกายมากมาย แต่ในความจริงก็มีสารที่มีโทษกับร่างกายด้วยเช่นกันโดยสามารถส่งผลข้างเคียง ต่อร่างกาย แต่ไม่ถึงกับเป็นอันตรายมากนัก ส่วนมากจะเกิดกับคนที่มีสภาพร่างกายไม่แข็งแรง โดยเมื่อดื่มแล้วอาจมีอาการใจสั่น นอนไม่หลับ ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ทั้งยังอาจทำให้เกิดอาการท้องผูก ฟันดำ และหากดื่มอย่างต่อเนื่องอาจเป็นการเสพติดได้

“สำหรับ ชาเขียวในที่นี้ ไม่ใช้เครื่องดื่มชาเขียวที่มีจำหน่ายเป็นขวดในท้องตลาด แต่เป็นชาเขียวที่ต้องเป็นชาที่ชงเองแต่อย่าชงทิ้งไว้ควรดื่มตอนร้อน ๆ และไม่ควรใส่น้ำตาลทรายขาวลงไปในการชงชาเพราะจะทำให้คุณสมบัติทางยาของชา เขียวหมดไป”มานพสรุปอย่างตรงไปตรงมา

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าชาเขียวสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้หลายโรคแต่จะต้องกินให้ถูกวิธีและใช้ให้เหมาะสมกับร่างกาย จึงจะทำให้การดื่มชาเขียวเกิดประโยชน์อย่างสูงสุด เพราะในการวิจัยผู้ดื่มชาเขียวเป็นประจำยังไม่พบว่ากลุ่มคนเหล่านี้ ได้รับโทษจากการดื่มชาเขียว แต่กลับกันกลุ่มคนเหล่านี้กับมีร่างกายที่แข็งแรง และยังมีภูมิคุ้มกันในการต้านโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี แล้ววันนี้คุณดื่มชาเขียวแล้วหรือยัง

ที่มา thaifitway

อาหารต้่านมะเร็ง

เนื้อหาที่จะเกล่าเป็นแนวทางในการดูแลตัวเองให้แข็ง แรงและลดปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็ง แนวทางการป้องกันมะเร็งได้มาจากสมาคมการวิจัยเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง American Institute for Cancer Research ดังนี้

เลือกอาหารที่มาจากพืช
ตลอด ระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ได้ทราบแล้วว่าอาหารเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง การรับประทานอาหารที่มาจากพืชรวมทั้งการรักษาน้ำหนักที่เหมาะสมและการออก กำลังกายจะทำให้ร่างกายสามารถต่อต้านโรคมะเร็ง เนื่องจากสารอาหาร วิตามินในพืชสามารถทำให้ร่างกายซ่อมแซมเซลล์ได้ดี ยับยังการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และยังทำลายสารที่จะก่อให้เกิดมะเร็ง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการรับประทานผักและผลไม้เพิ่ม 2 หน่วยร่วมกับการออกกำลังกายเพิ่มจะสามารถป้องกันมะเร็งได้ร้อยละ 60-70 เช่นการเปลี่ยนขนมปังธรรมดาเป็นขนมปังธัญพืช

ให้รับประทานอาหารพวกผักชนิดใหม่ๆซึ่งจะเพิ่มความอยากรับประทานอาหารพวกผัก

ให้มีอาหารพร้อมปรุงที่ทำจากพืชไว้ในตู้เย็นเช่นพวกถั่วต่างๆ อาหารแช่แข็ง ผลไม้กระป๋อง

ให้ ใช้ถั่วในการปรุงอาหารเช่นผสมในสลัด ใส่ถั่วในส้มตำ ใส่ถั่วในแกง อาจจะใช้ถั่วได้หลายชนิดเช่น ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วแขก เม็ดมะม่วงหิมะพาน

ให้รับประทานอาหารที่ไม่มีเนื้อสั...สัปดาห์ละครั้ง

หัดปรุงอาหารที่ทำจากพืช

รับประทานผักและผลไม้เพิ่ม

ผู้ เชี่ยวชาญแนะนำว่าอาหารที่เรารับประทานควรจะมาจากพืชเสีย 2/3 เช่นผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว ส่วนที่เหลือ 1/3 มาจากเนื้อสั...และนม วิธีการที่จะรับประทานเนื้อสั...ให้ลดลงทำได้ดังนี้

ใช้เนื้อเพียงแค่ปรุงรสเท่านั้น ไม่ใช่อาหารหลักอย่างบ้านเราทำกันคือผัดผักใส่หมูหรือกุ้งเพื่อปรุงรสและกลิ่น
รับประทานอาหรโปรตีนที่ทำจากพืชเช่น เนื้อปลอมที่ทำจากถั่วเหลืองหรือจากเห็ด
เลือกอาหารว่างที่ทำจากพืช เช่น น้ำผลไม้ ผลไม้ต่างๆ
เลือกผลไม้กระป๋องไว้ประจำบ้าน ควรเลือกผลไม้ที่บรรจุในน้ำผลไม้หรือน้ำไม่ควรใส่น้ำหวานหรือเกลือ
รับประทานผักใบเขียวให้มาก
มื้อกลางวันให้รับประทานสลัด
ใช้รับผลไม้หลังจากรับประทานอาหาร
หากท่านรับประทานผักและผลไม้มากเท่าใดท่านจะได้รับสารอาหาร วิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระมากขึ้นเท่านั้นซึ่งจะต่อสู้กับมะเร็ง

รักษานำหนักที่เหมาะสมและออกกำลังกายเป็นประจำ

น้ำหนัก ที่เหมาะสมสำหรับท่านควรอยู่ระหว่างดัชนีมวลกาย 18.5-23 สำหรับท่านที่น้ำหนักน้อยก็ต้องรับประทานอาหารเพิ่ม หากรับประทานไม่พอก็ต้องรับประทานอาหารเสริมเพิ่มขึ้น โรคอ้วนทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพมากมายสำหรับท่านที่มีน้ำหนักเกินท่านต้อง รับประทานอาหารน้อยลงวิธีการรับประทานอย่างฉลาดมีดังนี้

อ่านฉลากอาหารทุกครั้ง หากปริมาณสารอาหารที่ท่านซื้อมากเกินไปท่านต้องแบ่งอาหารออกมาเพื่อมิให้ได้รับพลังงานเกินไป
อย่าอดอาหารเป็นมือเพราะท่านจะรับประทานมากขึ้นในมื้อต่อไป
เลือกอาหารว่างอย่างฉลาดควรจะเลือกพวกผักและผลไม้
ให้รับประทานเมื่อท่านหิวเท่านั้น อย่ารับประทานเพราะว่าอร่อย หรือว่ากำลังเหงา ควรหางานอดิเรกทำเพื่อจะได้ไม่รับประทานมากเกินไป
อาหารพวกผักและผลไม้จะมีไขมันต่ำ หากอาหารหลักของท่านเป็นอาหารเหล่านี้โอกาสที่จะอ้วนก็มีน้อย
การ ออกกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ท่านแข็งแรง ลดความเครียดได้ ทำให้เจริญอาหารและการขับถ่ายดีขึ้นวิธีการที่จะเริ่มออกกำลังกายอย่างง่ายๆ

เริ่มทีละเล็กน้อยค่อยๆเพิ่ม อย่าหักโหมเพราะจะทำให้ได้รับบาดเจ็บ
การเดินเป็นวิธีที่ดีและง่าย
ให้กระฉับกระเฉงเช่น การขึ้นบัดได การเดินไปทำงาน การล้างรถหรือถูบ้าน
ท่านที่สุดอายุหรือมีโรคเข่าเสื่อมอาจจะเริ่มออกกำลังในน้ำเพราะจะใช้แรงไม่มากและไม่เป็นอันตรายต่อข้อ
ลดการดื่มสุราและสูบบุหรี่

จาก การวิจัยพบว่าการดื่มสุราก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพแต่การดื่มไวน์แดงก็อาจ จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกับการรับประทานองุ่นเพราะมีสาร resveratrol

หากไม่เคยดื่มสุราก็ไม่มีความจำเป็นต้องเริ่มดื่ม
หากจะดื่มสุราก็ให้ดื่มไม่เกิน 1 หน่วยสุรา
หากไปงานเลี้ยงก็ไม่ควรใช้เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ผสม
การสูบบุหรี่จะทำให้เกิดมะเร็งได้หลายระบบ การเลิกสูบบุหรี่จะทำให้ลดการเกิดมะเร็งได้ร้อยละ 30

เลือกรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมันต่ำ

เชื่อ ว่าอาหารมันและเกลือจะเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวและไขมัน trans-fats ('partially hydrogenated' oils). ซึ่งไขมันทั้งสองเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งและโรคหัวใจ แต่มิได้ห้ามรับประทานอาหารมันเพราะอาหารมันก็มีประโยชน์ต่อร่างกายแต่ไม่ ควรรับมากเกินไป

ปรุงอาหารอย่างถูกต้อง

การปรุงอาหารพวก เนื้อสั...โดยเฉพาะการย่างด้วยไฟอุณหภูมิที่สูงจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง เนื่องจากน้ำมันที่ถูกไฟไหม้จะก่อให้เกิดสาร polycyclic aromatic hydrocarbons ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ควรจะเลี่ยงไปใช้วิธีอื่นเช่น การอบ การใช้microwave การต้ม การทอดในน้ำ วิธีการที่จะลดการเกิดสารก่อมะเร็งมีดังนี้

อย่าย่างเนื้อสั...หลายชนิดในไม้เดียวกัน เพราะเนื้อทุกชนิดสามารถทำให้เกิดมะเร็งได้ ให้เลี่ยงไปย่างผักหรือผลไม้แทนเนื้อสั...
เลือกเนื้อสั...ที่ไม่มีไขมัน และให้ตัดไขมันออกจากเนื้อสั...ให้หมด
ให้หมักเนื้อนั้นก่อนปรุงอาหารโดยเฉพาะการหมักด้วยมะนาวจะช่วยลดสารก่อมะเร็งให้หมักก่อนปรุง 15-20 นาที ไม่ควรหมักด้วยน้ำมัน
ไม่ควรเผาเนื้อสั... ให้หุ้มเนื้อสั...ด้วย foil อาจจะทำให้เนื้อสั...สุขด้วยการต้ม อบหรือmicrowave > แล้วจึงนำมาเผาภายหลัง
อย่ารับประทานเนื้อสั...ที่ไหม้ ให้ตัดส่วนที่ไหม้ออก
การย่างหรือเผาอาหารพวกผักไม่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง
การถนอมอาหาร

ผู้ป่วยที่พื้นจากโรคมะเร็งจะมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอโอกาสจะเกิดโรคจากอาหารจะมีสูง ดังนั้นการเก็บและถนอมอาหารจะช่วยป้องกันการโรค

ล้างมือ ถ้วยชาม โต๊ะ ให้สะอาดและเปลี่ยนฟองน้ำบ่อยๆ
ให้ล้างผักและผลไม้โดยการรินน้ำ
ระวังการปนเปื้อนอาการจากการใช้มีด เขียง ชาม
ละลายอาหารแช่แข็งในตู้เย็นหรือ microwave ไม่ควรละลายในห้องครัว
ใช้ปรอทวัดอุณหภูมิของอาหารเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารสุขจริงๆ
อ่านฉลากอาหารให้ทราบวันหมดอายุ
คำถามที่ถามบ่อย

วิตามิน ช่วยป้องกันมะเร็งได้หรือไม่ จากรายงานพบว่าวิตามินในผักและผลไม้มีคุณค่ามากกว่ายาเม็ดวิตามิน ดังนั้นแนะนำให้รับประทานอาหารพวกผักและผลไม้ให้มาก ในกรณีที่รับอาหารไม่ได้เลยแพทย์ก็จะพิจารณาให้วิตามินเสริม
สารอาหารที่ใช้ป้องกันมะเร็ง

สาร อาหารที่ใช้ป้องกันมะเร็งหรือที่เรียกว่า Chemoprevention จะทำหน้าที่สองประการคือ ป้องกันการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม และหยุดการแบ่งเซลล์มะเร็ง สำหรับสารที่นิยมมาใช้ป้องกันมะเร็งได้แก่


สารอาหาร ชนิดสารอาหาร ใช้ป้องกันหรือรักษามะเร็ง
Vitamin A + other retinoids vitamin ผิวหนัง คอและศีรษะ ปอด
Vitamin C vitamin ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร
Vitamin D vitamin ลำไส้ใหญ่
Vitamin E vitamin ปอด คอและศีรษะ ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร
Folic Acid vitamin ปากมดลูก
Selenium mineral ผิวหนัง
Calcium mineral ลำไส้ใหญ่
Beta-Carotene phytochemical ปอด คอและศีรษะ ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร
Monoterpenes phytochemical เต้านม
Tamoxifen drug เต้านม
Finasteride drug ต่อมลูกหมาก
Oltipraz drug ตับ
NSAIDS
(nonsteroidal anti-inflammatory drugs -- aspirin, buprofen) drug ลำไส้ใหญ่
Sunscreen other ผิวหนัง
Spirulina
fusiformi (blue-green algae) คอและศีรษะ

อัลไซเมอร์

>อัลไซเมอร์ถือเป็นโรคที่บั่นทอนทั้งทางร่างกายและจิตใจ
>ไม่ได้ทำลายเฉพาะผู้ป่วยแต่ทำลายคน ใกล้ชิดของผู้ป่วยอย่างยากที่จะทน
>ลูกของคนไข้อัลไซเมอร์คนหนึ่งพูดถึงอัลไซเมอร์ว่ามันคือขโมยที่เข้ามาขโมย วิญญาณ ขโมยหัวใจของคนที่เรารักไป นี่คือ
>อัลไซเมอร์-โรคที่ไม่มีใครอยากเป็น และไม่อยากให้คนที่รักเป็น " นวลศรี
>อนันตกูล" เล่าถึงผู้เป็นพี่สาว"จรัสศรี อนันตกูล" ว่าพี่สาวเป็นคนเก่ง
>เป็นคนสวยโดยสมัยที่ยังสาวก็ยิ่งสวย และมีเสน่ห์ เรียนจบปริญญา
>โทแล้วเข้าทำงานรับราชการที่กรมพัฒนาที่ดินในตำแหน่งนักวิทยาศาสตร์วิ
>จัยด ิน ขับรถเก่ง เปรี้ยวและกล้าตัดสินใจแต่แล้วก่อนที่จะเกษียณสัก 5-6
>ปี จรัสศรีเริ่มมีอาการหลงลืม รถขับกลับบ้านชนยับเยินมาทีเดียว
>แต่เมื่อถามก็ตอบไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น
>หนักๆเข้าก็ลืมวิธีขับรถโดยขณะที่ขับรถไปด้วยกันนั้นเอง
>ก็ขับต่อไม่ถูกกรีดเสียงตะโกนเสียงแหลมด้วยความตกใจสุดขีดว่า"ฉันขับต่อ
>ไป ไม่ได้ ไม่รู้วิธีขับรถ!"
>>ทุกวันนี้ จรัสศรีเป็นคนป่วยโรคอัลไซเมอร์เกือบขั้นสุดท้ายแล้ว นั่นคือ
>ไม่สามารถจดจำในสิ่งใดได้ ลืมสิ้นทุกคนที่เคยรู้จัก ลืมวิธีการกิน
>การเดิน การพูด
>ชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างยากลำบากทั้งตัวผู้ป่วยเองและผู้ดูแล
>นวลศรีต้องอาบน้ำป้อนข้าว ดูแลทุกอย่างทั้งการขับถ่าย และ
>เมื่อเห็นแววตาพี่สาวคือจรัสศรีมองมายังตนแล้วนวลศรีก็อดสะท้อนใจไม่ได้เ
>พ ราะแววตานั้น ไร้สิ้นซึ่งความหมายและความจดจำใดๆนี่คือ
>ความน่าสะพรึงกลัวของอัลไซเมอร์
>>หากไม่อยากเป็นก็ต้องป้องกันตั้งแต่ยังไม่มีอาการ ทำอย่างไร
>สมองไม่เสื่อมพญ.สิรินทร ฉันศิริกาญจน นายกสมาคมผู้ดูแล
>ผู้ป่วยสมองเสื่อม กล่าวว่าเนื่องจากปัจจุบัน
>ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรค จึงยังไม่มีวิธีป้องกัน
>อย่างไรก็ตามโรคสมอง เสื่อมจากหลอดเลือดสมองตีบ
>ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของ
>โรคสมองเสื่อมในคนไทยสามารถป้องกันได้โดยการรับประทาน
>อาหารที่เหมาะสม
>การออกกำลังกาย
>การเลิกบุหรี่และการงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด

>>1. รับประทานอาหารที่ช่วยลดและชะลอความเสื่อมของเซลล์สมอง
>และสารสื่อประสาท พบในธัญพืชต่างๆ จมูกข้าวสาลี ถั่วลิสง ข้าวกล้อง
>มันฝรั่ง กล้วย กะหล่ำปลี นมสด ผักต่าง ๆ
>ช็อกโกแลตขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง อาหารจำพวกแป้ง
>น้ำตาล
>ของหวาน ผลไม้รสหวานจัดโดยพยายามทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
>สำหรับโปรตีน
>เน้นเนื้อปลา
>บ่อยครั้งที่ผู้สูงอายุไม่เจริญอาหารเนื่องจากขาดความกระตือรือล้นที่จะรั
>บประทาน หาสาเหตุให้พบและแก้ไข พึงสังวรว่าสารอาหารในแต่ละมื้อจำ
>เป็นต่อสมอง ของท่าน

>>2. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม ของหมักดอง อาหารที่ใส่ผงชูรส
>หลีกเลี่ยงกาเฟอีนในเครื่องดื่มพวกชากาแฟหรือโคล่า
>เพราะอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้
>ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ส่งผลให้วิตามินแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น วิตามินบีรวม
>โปแตสเซียม สังกะสี ถูกทำลาย สมองทำงานแย่

>>3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยผู้สูงอายุสามารถออกกำลังเบาๆ
>เช่นทำโยคะ
>หรือไทเก๊กที่เหมาะสมกับสุขภาพกาย ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้เกินพิกัด

>>4. การควบคุมอาหารทำควบคู่กับการลดความเครียด
>ส่วนบุหรี่และแอลกอฮอล์งดเด็ดขาด

>>5. อย่าลืมดูแลตัวเองด้านจิตสังคม ด้วย
>รวมทั้งด้านกายภาพบำบัดและกิจกรรมฟื้นฟูความจำ
>จัดกิจกรรมสำหรับตัวเอง>ให้ใช้ความคิดอย่างสม่ำเสมอ เช่นคิดเลขเมื่อไปจ่ายตลาด
>บวกเลขทะเบียนรถ>นับเลขถอยหลังจาก 500-1 เป็นต้น การเข้ากิจกรรมสังคมในทุกเรื่อง เช่น
>ร้องเพลง เล่นเกม เต้นรำ
>ฯลฯมีส่วนสำคัญต่อการป้องกันโรคสมองเสื่อมได้ทั้งสิ้น

>>แบบทดสอบต่อไปนี้ แปลจากบทความในBritish Medical Association
>โดยชาญกัญญา ตันติลีปิกร(วท.ม.จิตวิทยาคลินิก)
>สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยมหิดลและ
>พญ.โสภา
>เกริกไกรกุล หน่วยประสาทวิทยา วิทยาลัยแพทยศาสตร์ กรุงเทพฯ
>และวชิรพยาบาลขอย้ำว่าเป็นแบบทดสอบเบื้องต้นเท่านั้น
>ซึ่งแม้จะตอบว่า"ใช่" ทุกข้อ
>ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอาการของอัลไซเมอร์
>ทุกกรณีไปเนื่องจากการวินิจฉัยโรคจะมีปัจจัยเรื่องความถี่ที่ต้องนำมาพิจา
>รณาด้วย
>>1. หาของใช้ในบ้านไม่พบ
>>2. จำสถานที่ที่เคยไปบ่อยๆ ไม่ได้
>>3. ต้องกลับไปทบทวนงานที่แม้จะตั้งใจทำซ้ำถึง2 ครั้ง
>>4. ลืมของที่ตั้งใจว่าจะนำเอาออกไปนอกบ้านด้วย

>>5. ลืมเรื่องที่ได้รับฟังมาเมื่อวานนี้หรือเมื่อ2-3 วันก่อน
>>6. ลืมเพื่อนสนิทหรือญาติสนิทหรือบุคคลที่คบหากันบ่อยๆ
>>7. ไม่สามารถเข้าใจเนื้อเรื่องในหนังสือพิมพ์หรือวารสารที่อ่าน
>>8. ลืมบอกข้อความที่คนอื่น วานให้มาบอกอีกคนหนึ่ง

>>9. ลืมข้อมูลส่วนตัวของตนเอง เช่น วันเกิด ที่อยู่
>>10. สับสนในรายละเอียดของเรื่องที่ได้รับฟังมา
>>11. ลืมที่ที่เคยวางสิ่งของนั้นเป็นประจำ
>หรือมองหาสิ่งของนั้นในที่ที่ไม่น่าจะวางไว้

>>12. ขณะเดินทางหรือเดินเล่นอยู่ในอาคารที่เคยไปบ่อยๆ
>มักเกิดเหตุการณ์หลงทิศหรือหลงทาง

>>13. ต้องทำกิจวัตรประจำวันบางอย่างซ้ำถึง2 ครั้ง
>เพราะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นเช่น ใส่น้ำตาลมาก เกินไปในเวลาปรุงอาหาร
>หรือเดินไปหวีผมซ้ำอีกครั้ง ซึ่งเมื่อสักครู่เพิ่งได้หวีผมเสร็จ
>>14. เล่าเรื่องเดิมซ้ำอีกครั้ง ซึ่งเมื่อสักครู่เพิ่งได้เล่าเสร็จ
>>ถ้าติ๊กถูกทุกข้อ ก็ระวังหน่อย
>อาจถึงเวลาต้องไปพบแพทย์เพื่อให้วินิจฉัยเกี่ยวกับระดับความถี่ของเหตุกา

>ร ณ์ที่เกิดขึ้นด้วย
>>ปี 2548 ไทยมีผู้ป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์1.94 แสนคนและในปี 2549
>ตัวเลขขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2-3 แสนคนโดย
>ประมาณการผู้ป่วยในไทยคาดว่าจะทะลุหลักล้านภายใน30 ปีข้างหน้า !"
>พญ.สิรินทร กล่าวว่า โรคนี้น่ากลัวกว่ามะเร็ง
>เพราะมะเร็งอาจหายหรือไม่หาย แต่อัลไซเมอร์ ไม่มีทางหาย
>ถ้าไม่อยากเป็น1
>ในล้านคนของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์
>ก็ต้องพยายามทำตัวให้ห่างจากปัจจัยเสี่ยงศึกษาข้อมูลและเริ่มต้นปฏิบัติอย
>่างจริงจัง โรคร้ายนี้ไม่เข้าใครออกใคร เคยเก่งเคยฉลาดเป็นดอกเตอร์
>แต่ตัวอย่างก็มีให้เห็นมากมายว่าทั้งเก่งทั้งรอบรู้ขนาดไหน
>ก็เป็นอัลไซเมอร์ได้เหมือนกัน แต่ก็ไม่ต้องวิตกหรือกลัวมากเกินเหตุ
>ที่ขี้หลงขี้ลืมถี่ขึ้นพักหลังๆ นี้ อาจเป็นเพียงความเสื่อมธรรมดา
>หากกังวลก็ ไปพบแพทย์
สาระน่ารู้ หู คอ จมูก
โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ศูนย์หู คอ จมูก รพ.กรุงเทพFind
Home About
Archive for the 'จมูกและโพรงอากาศไซนัส' Category
ยาพ่นจมูก
นพ.พีระ จิตตำนาน May 4th, 2007

โรคทางจมูกและไซนัสบางอย่าง อาจต้องใช้ยาพ่นจมูกช่วยในการรักษา เช่น โรคภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ

ชนิดของยาพ่นจมูกมีใช้อยู่ในปัจจุบัน

1. ยาที่มีผลให้หลอดเลือดใต้เยื่อบุจมูกยุบตัวลง มีผลให้จมูกหายใจได้โล่งขึ้น ยากลุ่มนี้มีประโยชน์ในกรณีที่คนไข้มีอาการคัดจมูกมากๆอย่างเฉียบพลัน เมื่อใช้แล้วจมูกจะโล่งขึ้นใน 3 – 5 นาที แต่ยานี้มีข้อเสีย คือ ถ้าใช้ต่อเนื่องนานกว่า 5 วัน จะมีผลทำให้มีการคัดจมูกเรื้อรังได้ (Rebound Nasal Congestion) จึงควรใช้เมื่อจำเป็นและเป็นช่วงสั้นๆ

2. ยาที่มีส่วนผสมของ Corticosteroid ยากลุ่มนี้เป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน เพื่อรักษาอาการภูมิแพ้จมูกที่มี ไซนัสอักเสบร่วมด้วย หรืออาการภูมิแพ้จมูกที่มีอาการบ่อยๆตลอดปี ในกรณีของริดสีดวงจมูก (Nasal polyp) ก็สามารถใช้ยาพ่นกลุ่มนี้ควบคุมอาการได้

3. น้ำเกลือ Saline ใช้พ่นเพื่อให้ความชุ่มชื้นในจมูกและลดความหนืดของน้ำมูก

การพ่นจมูกในกรณีเป็นขวดสเปรย์

สั่งน้ำมูกถ้ามีน้ำมูกอยู่
ก้มศีรษะลงเล็กน้อย
สอดหัวพ่นยาเข้าในรูจมูกลึก ½ – 1 ซ.ม.
พ่นฉีดยากดแรงๆ ข้างละ 1- 2 ครั้ง จมูกซ้าย - ขวา
จมูกและโพรงอากาศไซนัส Comments(0)
ทำไมเวลาตากฝน แล้วถึงเป็นหวัด
นพ.สมศักดิ์ หวานกิจเจริญ April 30th, 2007

เคย สงสัยไหมครับว่า เวลาตากฝน โดยเฉพาะเวลาศีรษะเปียกฝน แล้ววันต่อมา เร่ิมมีอาการของหวัด เช่น มีอาการจาม คัดจมูก หรือมีน้ำมูก วันนี้ ผมมีคำอธิบาย และมีคำแนะนำเวลาตากฝน

โรคหวัด ก็คือโพรงจมูกอักเสบจากการติดเชื้อ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักจะเกิดจากไวรัส มีไวรัสเป็นร้อยชนิด ที่ทำให้เกิดไข้หวัดได้ ไวรัสเหล่านี้ กระจายฟุ้งอยู่ในอากาศ แล้วก็ตกลงอยู่ทีพื้น หรือเกาะอยู่ตามฝุ่น ไวรัสเหล่านี้ สามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน ในช่วงปกติ เราก็จะสัมผัสกัับไวรัสเหล่านี้อยู่บ้าง แต่เนื่องจากปริมาณมีไม่สูง รวมทั้งภูมิต้านทานของร่างกาย และสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เราจึงไม่เป็นโรคหวัด

ก่อนฝนตก มักจะมีกระแสลมที่แรง ลมเหล่านี้ จะพัดให้ไวรัสให้ฟุ้งกระจายปริมาณมาก หากเราอยู่ในบริเวณนั้น ก่อนฝนตก โอกาส ที่จะสัมผัสไวรัสในปริมาณมากก็มีมากขึ้น ดังนั้น พยายามอย่าอยู่ในที่โล่งแจ้้งโดยเฉพาะเวลาก่อนฝนตกนะครับ หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูก ในช่วงเวลานั้นก็ได้ครับ

หากเราตากฝน ศีรษะของเราก็จะเปียกฝน เชื้อโรคไม่ได้เข้าทางศีรษะนะครับ แต่การที่ศีรษะเปียกฝน จะมีผลทำให้อุณภูมิที่พื้นผิวของเยื่อบุจมูกลดต่ำลงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิระดับนี้ เหมาะสมสำหรับการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสที่ตกค้างอยู่ในช่องจมูก ประกอบกับการสัมผัสเชื้อไวรัสปริมาณมากช่วงก่อนฝนตก ก็เลยทำให้มีไวรัสจำนวนมากบริเวณเยื่อบุจมูก ภูมิต้านทานของร่างกาย จึงไม่อาจต้านทานเชื้อเหล่านี้ได้อีกต่อไป ก็เลยเกิดการอักเสบของเยื่อบุจมูก เกิดอาการบวมของเยื่อบุจมูก ทำให้คัดจมูก รวมทั้งเกิดการสร้างสารคัดหลั่งมากขึ้น ซึ่งก็คือน้ำมูก นั่นเอง หากเชื้อไวรัสลุกลามไปที่ลำคอ ก็จะทำให้เกิดคออักเสบตามมาได้

นอก จากศีรษะที่เปียกฝน ที่มีผลต่ออุณหภูมิในจมูกแล้ว อุณหภูมิบริเวณมือและเท้า ก็มีผลด้วยเช่นเดียวกัน การที่รองเท้าเราเปียกน้ำ และต้องแช่อยู่ในนั้นนานๆ ก็มีผลทำให้อุณภูมิในจมูกลดลง นำไปสู่อาการเป็นหวัดได้

วิธีการป้องกัน ไม่ให้เกิดหวัดเวลาศีรษะเปียกฝนก็คือ

หลบฝนในที่ร่มเสียก่อน รอจนฝนหยุด แล้วค่อยเดินทางต่อ
ใช้ร่มเพื่อบังศีรษะของเราไว้
หากศีรษะเปียกฝน รีบเช็ดให้แห้งเมื่อมีโอกาส ถ้าจะให้ดี สระผมไปเลยก็ได้ แล้วเช็ดหรือเป่าให้แห้งโดยเร็ว
รีบทำให้ร่างกายอบอุ่น
อาจแช่เท้าทั้งสองข้างในน้ำอุ่น เพื่อช่วยเปลี่ยนอุณภูมิที่พื้นผิวของจมูก ทำให้ไม่เหมาะต่อการแบ่งตัวของเชื้อโรค
รับประทานผลไม้ ที่มีวิตามินซีสูงๆ เช่น ส้ม วิตามินซี จะช่วยเสริมสร้างเซลและเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป ช่วยป้องกันการเป็นหวัดได้
วิธีการง่ายๆ เหล่านี้ ก็ทำให้คุณไม่เป็นหวัดง่ายๆ ในหน้าฝนนี้